|
แอล ดับเบิลยู เอสฯ 'ชี้' อสังหาฯ ครึ่งปีหลังชะลอตัว
แอล ดับเบิลยู เอสฯ คาดตลาดอสังหาฯครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัว ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบมาตรการขึ้นภาษีสหรัฐอเมริกา กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวลง สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อ แม้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง มาตรการผ่อนคลาย LTV และลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง 0.01%
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่า ยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจคงชะลอตัว เป็นผลมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่ำกว่า 2% จากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตที่
2.7-3%
การที่เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่ำ ทำให้รายได้และกำลังซื้อของประชากรลดลง ผนวกกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไปจนถึงสินเชื่ออุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีแนวโน้มลดลง และมีมาตรการผ่อนคลาย อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า (Loan to Value: LTV) รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาอยู่ที่ 0.01% ก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมาได้ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังกังวลรายได้ในอนาคต ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ที่เป็นภาระหนี้ระยะยาวออกไปก่อน นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้คาดว่า ปี 2568 จะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงทั้งมูลค่าและจำนวน เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเปิดตัวโครงการใหม่แล้วจะขายไม่ได้ตามแผน แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ไปมุ่งเน้นที่การเร่งระบายสินค้าคงเหลือที่ยังคงมีอยู่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในการถือครองทรัพย์สินแทน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ปรับตัวลดลงทั้งจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการคิดเป็นสัดส่วน 54% และ 46% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2567 นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ครึ่งปีแรกจำนวนหน่วยเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 54% จากผลการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ของ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า มีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) ทั้งสิ้น 104 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 14,942 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 109,220 ล้านบาท ลดลง 42%, 54%, และ 46% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการ 182 โครงการ จำนวน 32,675 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 201,517 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567
โดยเป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จำนวน 23 โครงการ จำนวน 7,393 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 22,956 ล้านบาท ลดลง 30%, 45% และ 56% ตามลำดับ จากจำนวนโครงการเปิดใหม่ 33 โครงการ จำนวน 13,377 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 51,802 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 3.10 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง 20% จากราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.87 ล้านบาทต่อหน่วย
ในขณะที่การเปิดตัวบ้านพักอาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 81 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 7,549 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวรวม 86,264 ล้านบาท ลดลง 46%, 61%, และ 42% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ 149 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัว 19,298 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 149,715 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 11.42 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในข่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่อยู่ที่ 7.75 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการเปิดตัวบ้านพรีเมี่ยมที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย ในมูลค่าที่สูงขึ้นมากกว่าระยะเดียวกันของปี 2567
จากผลการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการเปิดตัวบ้านระดับพรีเมี่ยม ที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท จำนวน 48 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย 2,690 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 63,444 ล้านบาท ลดลง 9.4%, 26%, และ 22% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ จำนวนการเปิดตัวโครงการ 53 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัว 3,656 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัว 80,892 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 23.58 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 6.6% จากราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 22.12 ล้านบาทต่อหน่วย
ขณะที่มีการเปิดตัวบ้านพักอาศัยในระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จำนวน 33 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 4,859 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ 22,820 ล้านบาท ลดลง 66%, 69%, และ 67% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่เปิดตัว 96 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 15,642 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวใหม่รวม 68,823 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4.69 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 6.83% จาก ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 4.39 ล้านบาทต่อหน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
หลักสี่-แบริ่ง-สาธุประดิษฐ์ กำลังซื้อสูง ส่วนทำเลที่มีกำลังซื้อสูง จากผลการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า สำหรับอาคารชุดพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 โครงการในทำเลหลักสี่-แจ้งวัฒนะ มีกำลังซื้อสูง โดยโครงการอาคารชุดที่เปิดตัวในทำเลดังกล่าวมียอดขาย ณ วันเปิดตัวสูงถึง 40% จากจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 328 หน่วย ตามมาด้วยทำเลติวานนท์ ที่มียอดขาย ณ วันเปิดตัวที่ 30% จากจำนวนหน่วยเปิดตัว 154 หน่วย ขณะที่ทำเลที่ขายดีสำหรับบ้านพักอาศัยที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 ได้แก่ ทำเล แบริ่ง-วัดด่าน ที่ขายได้ 51 หน่วย ณ วันเปิดตัว จากจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 222 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 23%ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้ ตามมาด้วย ปทุมธานี โดยสามารถขายได้ 49 หน่วย จากจำนวนหน่วยเปิดตัว 288 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 17% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้
สำหรับบ้านที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท ทำเลวงแหวน-บางนา มีจำนวนหน่วยที่ขาย ณ วันเปิดตัวได้สูงสุดในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 โดยมีจำนวนหน่วยที่ขายได้ 23 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30% จากจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 76 หน่วย เป็นบ้านแบบบ้านแฝด ที่ระดับราคา 10-30 ล้านบาทต่อหน่วย ตามมาด้วย ทำเลสาธุประดิษฐ์ ที่สามารถขายได้ 20 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 45% ของจำนวนหน่วยเปิดตัว 44 หน่วย โดยเป็นบ้านในแบบทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 10-30 ล้านบาท บ้านแฝดและบ้านเดี่ยวที่ระดับราคามากกว่า 50 ล้านบาท
โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การเปิดตัวโครงการใหม่ชะลอตัวลงด้วยปัจจัยหลายประการทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมไปถึงสถานการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาสสองของปี โดยไม่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่เลยในเดือนเมษายน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเริ่มกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน ถึงแม้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่โดยภาพรวมแล้วในปี 2568 การเปิดตัวโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะน้อยกว่า ปี 2567 หรือไม่ก็ใกล้เคียงกับปี 2567 นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
Go To Lead
|
พฤกษา จัดใหญ่ ครั้งแรกและครั้งเดียว PRUKSA D-DAY SALE
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากมาตรการสำคัญของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การปลดล็อก LTV, การลดค่าโอน-ค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% (จากเดิม 2%) รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ ซึ่งเอื้อต่อผู้ซื้อในช่วงนี้เป็นอย่างมาก แคมเปญPRUKSA D-DAY SALE จึงถูกออกแบบขึ้น เพื่อทำให้การมีบ้านคุณภาพเป็นเรื่องง่าย โดยคัดสรรโครงการคุณภาพพร้อมเข้าอยู่ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมคุณภาพทุกระดับราคา บนทำเลศักยภาพ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มอบข้อเสนอสุดพิเศษที่ตอบโจทย์ทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และนักลงทุนอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็น ฟรี! ค่าส่วนกลาง 5 ปี ฟรี! ไอโฟน 16 ฟรี! เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ จองเพียง 499 บาททุกยูนิต พร้อมเงื่อนไข ผ่อนน้อยและดอกเบี้ยต่ำ กับธนาคารพันธมิตร (*รายละเอียดข้อเสนอต่างกันในแต่ละโครงการ) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและทำให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น พฤกษายังมอบความอุ่นใจในการอยู่อาศัยในระยะยาว ด้วยบริการหลังการขายที่เหนือกว่ากับ บริการ Warranty Reminder แจ้งเตือนล่วงหน้า 1 เดือนก่อนหมดระยะเวลารับประกัน และบริการตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานมืออาชีพ เพื่อสร้างความสุข ความอุ่นใจไปตลอดชีวิต
โครงการคุณภาพ ทำเลเยี่ยม ฟังก์ชันครบ ที่เข้าร่วมแคมเปญฯ อาทิ เดอะ ปาล์ม แจ้งวัฒนะ ชัยพฤกษ์ 2 บ้านหรูพร้อมอยู่ ใกล้ ร.ร. นานาชาติสิงคโปร์ นนทบุรี (SISB) 5 นาที และ MRT สถานีแยกปากเกร็ด เริ่มต้น 16.5 ล้านบาท พาทิโอ กรุงเทพกรีฑา - วงแหวน พรีเมี่ยมทาวน์โฮมหน้ากว้าง 10 เมตร ใกล้แนวรถไฟฟ้าใหม่ถึง 2 สาย คือสายสีส้ม และสายสีชมพู เริ่มต้น 13.8 ล้านบาท ภัสสร รังสิต-อเวนิว บ้านเดี่ยวสไตล์คลาสสิกหลังใหญ่ 5 ห้องนอน ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางขึ้นโทลล์เวย์ ห้างสรรพสินค้า และ สนามบิน เริ่มต้น 6.79 ล้านบาท
เดอะ แพลนท์ นิวทาวน์ บางนา-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมอิสระ และบ้านแฝด ใกล้ถนนสายหลักทั้งเทพารักษ์ บางนา-ตราด และกิ่งแก้ว เริ่มต้น 3.69 ล้านบาท
บ้านพฤกษา ลำลูกกา-วงแหวนฯ ทาวน์โฮมพรีเมี่ยม 3 ห้องนอน 2 จอดรถ ติดถนนใหญ่ เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
เดอะ ทรี พัฒนาการ-เอกมัย คอนโด ใกล้ Airport Rai Link รามคำแหง 300 เมตร ส่วนกลางจัดเต็ม เริ่มต้น 2.19 ล้านบาท
เดอะ ไพรเวซี่ พาร์ค เตาปูน ยูนิตน้อยมีความเป็นส่วนตัว พร้อม Sky Facility 3 ชั้น เดินทางสะดวกสบาย ใกล้ MRT เตาปูนอินเตอร์เชนจ์ เพียง 500 เมตร เริ่ม 4.59 ล้านบาท
พลัม สุขุมวิท 62 คอนโด Low Rise พร้อมอยู่ เดินทางสะดวก 550 เมตร ถึง BTS บางจาก และ 2 นาที ถึงทางด่วน เริ่ม 2.19 ล้านบาท
ผู้สนใจบ้าน ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมจากพฤกษา สามารถลงทะเบียนเยี่ยมชมโครงการ พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับลูกบ้านพฤกษาเพิ่มเติมได้ที่ Line Official: @PRUKSA เพจเฟซบุ๊ค Pruksa Family Club และศึกษารายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ www.pruksa.com หรือ โทร.1739 #PruksaDDaySale #pruksa #พฤกษา #PruksaLifeTimeWellLiving #อยู่ดีมีสุข #LivewellStaywell
Go To Lead
|
สมุยคึกคัก คอนโดฯ-วิลล่าปล่อยเช่าพุ่ง มูลค่าตลาดแตะ 30,300 ล้าน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยบนเกาะสมุยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็ว การเพิ่มความหลากหลายของประเภทที่อยู่อาศัย และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในตลาดเช่าระยะสั้น ตามรายงาน Samui Property Market Update 2568 ฉบับล่าสุดโดย C9 Hotelworks มูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์บนเกาะสมุยในปัจจุบันอยู่ที่ 30.3 พันล้านบาท โดยตลาดกำลังเปลี่ยนจากการเน้นที่พักอาศัยแบบวิลล่าเป็นหลัก ไปสู่โครงการที่พักอาศัยที่มีความหนาแน่นมากขึ้น เช่น คอนโดมิเนียม เพื่อตอบรับเทรนด์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลง และความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังกำหนดทิศทางใหม่ของตลาด หนึ่งในเทรนด์สำคัญของตลาดอสังหาฯ บนเกาะสมุยในปัจจุบันคือการเติบโตของจำนวนวิลล่าสำหรับเช่าแบบอิสระ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ มกราคม 2568) ปริมาณที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างมาก โดยอัตราค่าเช่าเฉลี่ยต่อคืนในไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลง 11% เหลือ 13,012 บาทต่อคืน อย่างไรก็ตาม แม้อัตราค่าเช่าจะลดลง แต่ระดับการเข้าพักกลับเพิ่มขึ้น 5.7 จุดเปอร์เซ็นต์ เป็น 71.5% สะท้อนถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาความหรูหราและความเป็นส่วนตัว สิ่งที่ทำให้สมุยแตกต่าง คือพื้นฐานของตลาดโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง คุณบิล บาร์เน็ตต์ (Bill Barnett) กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks กล่าว เมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในไทยที่ราคาที่ดินพุ่งสูง สมุยยังมีต้นทุนที่ดินค่อนข้างต่ำ ทำให้สามารถพัฒนาโครงการวิลล่าหรูในราคาที่แข่งขันได้ และหลายแห่งยังมีวิวทะเลที่สวยงามอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนเกาะสมุยกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทขนาดใหญ่และมีความหนาแน่นมากขึ้น โดยมีโครงการใหม่ที่น่าจับตามอง เช่น โครงการอานาวา สมุย (564 ยูนิต) และ โครงการวิง สมุย (533 ยูนิต) ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจากรูปแบบวิลล่า ไปสู่ทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อยุคใหม่ รวมถึงนักลงทุนที่มองหาที่อยู่อาศัยที่บริหารจัดการง่ายและเข้าถึงได้ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยและทิศทางทำเลต่าง ๆของสมุย ปัจจุบันตลาดที่อยู่อาศัยหลักบนเกาะสมุย มีจำนวนยูนิตรวมทั้งสิ้น 2,882 ยูนิต กระจายอยู่ใน 117 โครงการ โดยกว่า 70% ของอุปทานทั้งหมดตั้งอยู่ในย่านบ่อผุด ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของเกาะ ครอบคลุมทั้งสนามบินสมุยและชายหาดยอดนิยมอย่างเฉวง ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ได้แก่ ตำบลมะเร็ต (15%) ตำบลแม่น้ำ (9%) และตำบลอ่างทอง (3%)คอนโดมิเนียมครองสัดส่วน 52% ของอุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดบนเกาะสมุย สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของการพัฒนาอสังหาฯ ยุคใหม่ ขณะที่วิลล่าหรือบ้านพักอาศัยยังคงมีสัดส่วน 48% ซึ่งแม้จะยังเป็นส่วนสำคัญของตลาด แต่ก็เริ่มเปิดทางให้กับการเติบโตของโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น
ด้านราคาขาย คอนโดมิเนียมมีราคากลางอยู่ที่ 88,500 บาทต่อตารางเมตร ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่ที่เฉลี่ย 60,600 บาทต่อตารางเมตร สำหรับคอนโดมิเนียมห้องแบบหนึ่งห้องนอน (ขนาด 4070 ตร.ม.) ราคากลางอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านบาท ขณะที่ห้องแบบสองห้องนอน (ขนาด 80110 ตร.ม.) มีราคากลางที่ 7.2 ล้านบาท ด้านวิลล่าจะมีราคาสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยยูนิตแบบสามห้องนอน (ขนาด 250350 ตร.ม.) มีราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 14.9 ล้านบาท
การแข่งขันในตลาดเช่าวิลล่าบนเกาะสมุย ปี 2568 ตลาดเช่าวิลล่าบนเกาะสมุยมีจำนวนรวม 3,055 หลัง โดยส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การบริหารของผู้ให้บริการบุคคลที่สาม วิลล่าเหล่านี้มักถูกใช้ในสองรูปแบบควบคู่กัน ทั้งเป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัว และเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนที่สร้างรายได้จากการปล่อยเช่า ตลาดส่วนใหญ่ประกอบด้วยวิลล่าสองและสามห้องนอน ซึ่งครองสัดส่วน 21% และ 31% ตามลำดับ ขณะที่วิลล่าขนาดใหญ่ที่มีสี่ห้องนอนขึ้นไป คิดเป็น 31% ของอุปทานทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวใหญ่และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นกลุ่ม ตลาดเช่าวิลล่าบนเกาะสมุยมีความผันแปรตามฤดูกาลอย่างชัดเจน โดยอัตราเข้าพักต่ำสุดอยู่ที่ 38.7% ในเดือนกันยายน และพุ่งสูงสุดถึง 76.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ ระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45 คืน แม้อัตราค่าเช่าเฉลี่ยต่อคืนจะลดลงจากการที่มีจำนวนวิลล่าในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการจากนักท่องเที่ยวกลุ่มมีกำลังซื้อยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่แตกต่าง แม้อัตราค่าเช่าเฉลี่ยต่อคืนในไตรมาสแรกของปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 13,012 บาท แต่อัตราเข้าพักกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่ากลยุทธ์การเน้นปริมาณผู้เข้าพักกำลังเห็นผลในหมู่ผู้ประกอบการหลายราย การปรับสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพการบริหารจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด ซึ่งกำลังพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น พร้อมกับการวาง
บ่อผุด: วิลล่าบูติกตอบรับความต้องการที่เติบโตต่อเนื่อง หนึ่งในทำเลวิลล่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบนเกาะสมุยคือย่านบ่อผุด ซึ่งความสนใจในโครงการที่อยู่อาศัยแบบบูติกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงการในพื้นที่นี้โดดเด่นด้วยการออกแบบที่สวยงามทันสมัย ความเป็นส่วนตัว และทำเลที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างหมู่บ้านชาวประมง(Fishermans Village) วิลล่าระดับลักชัวรีในบ่อผุดยังตอบรับกับกระแสไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพและดีไซน์ทรอปิคอลร่วมสมัย ตอกย้ำบทบาทของย่านนี้ในฐานะจุดหมายยอดนิยมของกลุ่มผู้ซื้อที่มองหาคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง มูลค่าตลาดและรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ ในเชิงภูมิศาสตร์ พื้นที่บ่อผุด มะเร็ต และแม่น้ำ รวมกันคิดเป็น 85% ของมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์บนเกาะสมุย ซึ่งสะท้อนถึงความน่าสนใจของทำเล และความพร้อมด้านการพัฒนาในพื้นที่เหล่านี้อย่างชัดเจน ที่พักริมทะเลมีจำนวน 631 ยูนิต ขณะที่ที่พักอาศัยภายแบบ Branded Residences มีจำนวน 550 ยูนิต สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในสินทรัพย์ระดับพรีเมียมซึ่งเน้นคุณภาพชีวิตและภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้านราคาขาย อสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงขึ้นตามขนาดของยูนิต โดยวิลล่าสองห้องนอน (150250 ตร.ม.) มีราคาประมาณ 12.2 ล้านบาท ขณะที่วิลล่าสี่ห้องนอนขนาดใหญ่ (400500 ตร.ม.) อาจมีราคาสูงกว่า 28.9 ล้านบาท สำหรับคอนโดมิเนียม จุดขายสำคัญยังคงอยู่ที่ความคุ้มค่าและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดยผู้พัฒนาหลายรายมุ่งเป้าทั้งนักลงทุนต่างชาติและชาวไทยในเมืองที่มองหาบ้านพักตากอากาศหรือทรัพย์สินเพื่อการลงทุน มุมมองตลาดและสิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณา ทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์บนเกาะสมุยที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกลุ่มวิลล่าและคอนโดมิเนียมจะสร้างแรงกดดันต่อระดับราคาตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มปล่อยเช่าระยะสั้น แต่ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ระดับการเข้าพักที่ดีขึ้น และการเชื่อมต่อทางการบินที่สะดวกมากขึ้น ก็ช่วยรองรับแรงกดดันนี้ได้บางส่วน
การเกิดขึ้นของโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยบนเกาะสมุย ทำให้เกาะแห่งนี้เข้าถึงนักลงทุนและผู้ซื้อบ้านหลังที่สองได้หลากหลายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ เมื่อรวมกับภาพลักษณ์ของสมุยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม สะท้อนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปริมาณและความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนักพัฒนาและนักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบในตลาดคือความแตกต่าง ทำเล และบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หากมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและเหมาะสม เกาะสมุยยังคงเป็นจุดหมายที่น่าลงทุน ทั้งในด้านการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ขณะนี้ที่โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อระดับนานาชาติของเกาะสมุยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็พร้อมจะยังคงเป็นจุดสนใจของทั้งกลุ่มผู้ซื้อที่มองหาบ้านเพื่ออยู่อาศัย และนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว Samui Property Market Review 2568 โดย C9 Hotelworks ได้ที่: https://c9hotelworks.com/wp-content/uploads/2025/06/Samui-Property-Market-Update-June-2025.pdf
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|