|
|
วิริยะประกันภัย-กรมขนส่งทางบก จัด ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย รับปีใหม่ 2569
นายพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและเป็นโอกาสดีที่ประชาชน จะได้เดินทางกลับภูมิลำเนา พบปะครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเดินทางออกต่างจังหวัดเพื่อท่องเที่ยว ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่มีอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงความรุนแรงและความสูญเสียดังกล่าว จึงบูรณาการความร่วมมือกับ กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรม ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย ขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลบำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานก่อนการเดินทาง ตลอดจนสร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ลดน้อยลง
ลูกค้าของวิริยะประกันภัยและประชาชนทั่วไป สามารถนำรถยนต์เข้ารับการตรวจเช็คสภาพฟรีเบื้องต้น จำนวน 20 รายการ อาทิ ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง ตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ ตรวจเช็คสภาพการทำงานของไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณ ตรวจสอบคันเร่ง ตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำมัน ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ ตรวจสอบเบรก ตรวจสอบไส้กรองอากาศ ตรวจสอบคลัตซ์ ตรวจสอบระบบบังคับเลี้ยว ตรวจสภาพการทำงานของเครื่องยนต์ เป็นต้น พร้อมรับ กระเป๋าผ้าแคนวาสวิริยะประกันภัย ฟรีทันที ! เมื่อลงทะเบียนตอบแบบสอบถามผ่าน QR CODE (ของมีจำนวนจำกัด) โดยสามารถเข้ารับบริการตรวจรถฟรีได้ ณ ศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัยที่ติดป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1-26 ธันวาคม 2568
สำหรับศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการให้บริการตรวจรถฟรี จำนวน 30 แห่ง ได้แก่ 1) อู่ร่วมมิตรการาจ 2) บจ.นิวเพื่อนยนต์ 3) บจ.ไทยรัตน์ยานยนต์ 4) หจก. งามวงศ์วาน คาร์แคร์ 5) บจ.อู่นำชัย รัตนาธิเบศร์ 6) บจ.เซอร์กิต ติวานนท์ 7) บจ.อู่นำชัย เตาปูน (สาขาติวานนท์) 8) บจ.เจริญกิจ ราชพฤกษ์ 9) บจ.เจริญกิจ ออโต้ เซอร์วิส 10) บจ. คุงการาจ 11) บจ.เซอร์กิตบริการ 12) บจ.อู่กังวานชัยการช่าง 13) บจ.อู่วิชัยยนต์ 14) บจ.เทวินทร์ คาร์เซ็นเตอร์ 15) อู่บอส 888 การาจ 16) บจ.ธนพัฒน์ ออโต้ เซ็นเตอร์ 17) บจ.เพอร์เฟคท์ สปีด ไลน์ 18) บจ.เอส ซี ซี 65 การาจ 19) หจก. เจดีย์ออโต้เซอร์วิส 20) หจก.เป้งการาจ 21) บจ. อู่ เอส.เอส. อินเตอร์กรุ๊ป 22) บจ.รุ่งเจริญ บอดี้ คลีนิค 23) บจ.สุขุมวิท เอ.ที. เซอร์วิส 24) หจก.สุทินคาร์เซอร์วิส 25) บจ.เฮงบอดี้คาร์ เซอร์วิส 26) บจ.วงษ์ศิริเลิศ คาร์ เซอร์วิส (1997) 27) บจ.เจริญภัณฑ์ยนตรกิจ เซอร์วิส 28) บจ.นที อินเตอร์เซอร์วิส สาขา 1 29) บจ.อู่แม่กลอง 30) บจ.อ.พิพัฒน์ยนต์ (1989)
Go To Lead
|
ชับบ์ ประเทศไทย ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ส่งมอบเครื่องอุปโภคบริโภค เร่งฟื้นฟูผ่านวิกฤต
นายแอนดรูว์ นิสเบ็ท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ชับบ์สามัคคีมีความตั้งใจที่จะยืนเคียงข้างลูกค้าและสังคมไทยในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤต เราให้ความสำคัญกับการให้บริการด้านการเคลมอย่างทันท่วงที พร้อมส่งมอบความช่วยเหลือที่จำเป็นให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบและธุรกิจสามารถฟื้นฟูกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว นอกจากการสนับสนุนสังคมโดยรวม พนักงานของเรายังลงพื้นที่เพื่อให้บริการลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด พร้อมอำนวยความสะดวกในกระบวนการเคลม ส่งมอบถุงยังชีพ และให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกครอบครัวและธุรกิจสามารถฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุด
นางอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต เข้าใจถึงผลกระทบที่รุนแรงของภัยพิบัติครั้งนี้เป็นอย่างดี และตระหนักถึงความสำคัญของการฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่ เราขอยืนยันความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทุกท่าน ไม่เพียงแค่การให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็งและมั่นคงด้วย ทั้งนี้ เราขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกท่านที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด
ชับบ์สามัคคี และ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต มุ่งมั่นยืนเคียงข้างสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยจะร่วมมือกันในการสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมให้สามารถฟื้นฟูกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต
Go To Lead
|
คปภ.'หนุน'ขับเคลื่อนระบบประกันภัยไทย
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนระบบประกันภัยไทยในปี 2568 ที่ผ่านมาว่า สำนักงาน คปภ. ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญท่ามกลางบริบทความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยมุ่งยกระดับการกำกับดูแลเชิงรุกบนฐานข้อมูล (Data-Driven Regulation) ควบคู่กับการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับหลักสากล และการเสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีความเข้มแข็ง สามารถรองรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีกรอบการขับเคลื่อนผ่าน 13 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ภาพรวมธุรกิจประกันภัย ปี 2568 ข้อมูลภาพรวมธุรกิจประกันภัย ประจำปี 2568 สำนักงาน คปภ. ประเมินว่า การดำเนินธุรกิจประกันภัยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในหลายมิติ ทั้งจากทิศทางอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงมีความระมัดระวัง อย่างไรก็ดี จากข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัย ปี 2568 คาดว่าธุรกิจประกันภัยทั้งระบบจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 969,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการเติบโตภายใต้บริบทความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาแยกตามประเภท พบว่าธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 675,957 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.51 ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 293,220 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 2.33 โดยโครงสร้างการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน ในด้านการบริหารความเสี่ยงระยะยาว การออม และการคุ้มครองสุขภาพที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจและสังคม
ไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวในระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ทยอยปรับดีขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและช่วงการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะด้านการออม การคุ้มครองสุขภาพ และการบริหารความเสี่ยงของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บริบทดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินทิศทางอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเติบโตของธุรกิจประกันภัยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสะสมในระบบ และสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงินของประเทศในระยะยาว ประเด็นที่ 2 ความสำเร็จของเวทีการประชุม OIC Meets CEO เพื่อยกระดับความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทย การประชุม OIC Meets CEO จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืนผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของนโยบายและการปฏิบัติจริง โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากระบบประกันภัยที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น ผ่านการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ลดความล่าช้าในการพิจารณาสินไหมและข้อร้องเรียน รวมถึงการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถและการป้องกันการฉ้อฉลด้านประกันภัย ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันภัยได้รับความชัดเจนด้านทิศทางกฎเกณฑ์และนโยบายสำคัญ เช่น RBC, IFRS 17, ESG และการบริหารความเสี่ยง ทำให้สามารถปรับตัวเชิงรุก วางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพ และลดต้นทุนความเสี่ยงในระยะยาว การประชุม OIC Meets CEO จึงเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงนโยบายกับการปฏิบัติ ช่วยให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองที่มีคุณภาพ ภาคธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจน และระบบประกันภัยไทยสามารถสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นที่ 3 เรื่องการยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) สำนักงาน คปภ. เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของไทย โดยนำแนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision : GWS) ตามหลักการสากลมาปรับใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มธุรกิจและขยายการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส เสริมเสถียรภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับ Solo Consolidation กำกับดูแลบริษัทประกันภัยและบริษัทลูกที่มีอำนาจควบคุมในหลักการเดียวกับการกำกับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว และระดับ Full Consolidation กำกับดูแลในระดับบริษัทแม่สูงสุดของบริษัทและนิติบุคคลที่บริษัทมีอำนาจควบคุมหรือถือหุ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป หรือบริษัทร่วม หรือบริษัทลูก ซึ่งคาดว่าจะออกหลักเกณฑ์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ประเด็นที่ 4 การปรับปรุงประกาศ คปภ. เรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ข้อมูลการลงทุน และการลดค่าความเสี่ยง (Risk Charge) สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบริษัท ภายใต้การกำกับดูแลตามหลัก Risk Proportionality เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าถึงช่องทางการลงทุนได้ไม่จำกัดประเภทการลงทุนเพิ่มโอกาส สร้างผลตอบแทน กระจายความเสี่ยง และเสริมความมั่นคงให้เงินออมของประชาชนที่อยู่ในรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัย ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมบทบาทภาคประกันภัยในฐานะนักลงทุนสถาบัน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนสำหรับ ความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 18 ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุน เสริมสภาพคล่องตลาดทุน และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ประเด็นที่ 5 การกำหนดปัจจัยระดับพฤติกรรมการขับขี่ไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ สำนักงาน คปภ. ได้ยกระดับโครงสร้างการประกันภัยรถยนต์ของไทย โดยนำปัจจัยด้านพฤติกรรมการขับขี่มาใช้กำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้ใช้รถและสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันภัย หลังจากที่ผ่านมาอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ยังอิงข้อมูลภาพรวม เช่น อายุหรือรุ่นรถ ซึ่งไม่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการขับขี่รายบุคคลได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ผู้ขับขี่ที่มีวินัยต้องจ่ายเบี้ยใกล้เคียงกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยได้ร่วมกันกำหนดให้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ (สูงสุด 5 คน) เพื่อเชื่อมโยงการคำนวณเบี้ยกับพฤติกรรมการขับขี่จริง โดยผู้ขับขี่ที่ไม่มีอุบัติเหตุจากความประมาทจะได้รับการปรับระดับพฤติกรรมและส่วนลดเบี้ยสะสมสูงสุดถึงร้อยละ 40 และจะติดตัวผู้ขับขี่ไปตลอด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับเบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมมากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้ขับขี่ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย พร้อมยกระดับความโปร่งใสและความยั่งยืนของระบบประกันภัยรถยนต์ในระยะยาว ประเด็นที่ 6 การศึกษาวิจัยเชิงลึกตามโครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ส่งเสริมการทำประกันภัยรถภาคบังคับ สำนักงาน คปภ. ได้ยกระดับบทบาทสู่การกำกับดูแลเชิงรุก ด้วยการริเริ่มโครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ประกันภัยรถภาคบังคับในปี 2568 โดยกำหนดจังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างเป็นระบบ ซึ่งจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกพบว่าสามารถลดค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่จากเดิมประมาณ 0.461.00 คนต่อวัน เหลือต่ำกว่า 0.40 คนต่อวัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบสองปีที่ผ่านมา และสำนักงาน คปภ. มีแผนต่อยอดขยายผลโครงการในปี 2569 เพื่อสร้างชุมชนและเยาวชนต้นแบบทั่วประเทศ เสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านประกันภัย และยกระดับระบบประกันภัยให้เป็นกลไกสำคัญในการลดความสูญเสียและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
ประเด็นที่ 7 การขับเคลื่อนระบบกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) สำนักงาน คปภ. เดินหน้าโครงการกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) และระบบจัดเก็บกรมธรรม์กลาง (e-Custodian) สำหรับประกันภัยรถภาคบังคับในปีถัดไป ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยจะยกระดับการทำงานสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบที่เชื่อมโยงข้อมูลตั้งแต่การออกกรมธรรม์ การชำระเบี้ย และสถานะความคุ้มครองแบบครบวงจรและตรวจสอบได้ ส่งผลให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดการฉ้อฉลอย่างเป็นระบบ ทั้งการปลอมแปลงกรมธรรม์ การออกกรมธรรม์ซ้ำซ้อน และการทุจริตของคนกลางประกันภัย ขณะเดียวกันประชาชนจะสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ได้สะดวก ชัดเจน และมั่นใจมากขึ้น บริษัทประกันภัยบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ลดต้นทุน ในระยะยาว และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของระบบประกันภัยไทยให้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม ประเด็นที่ 8 การพัฒนาการให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับภาคการเงิน (Open Data / Open Insurance) สำนักงาน คปภ. เดินหน้าพัฒนาแนวคิด Open Insurance เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ภายใต้กรอบการเปิดใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานความปลอดภัย และยึดหลักความยินยอมของเจ้าของข้อมูลเป็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจประกันภัย และผู้ให้บริการเทคโนโลยี พร้อมยกระดับการกำกับดูแลเชิงป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มทดสอบระบบในไตรมาสแรกของปี 2569 ทั้งนี้ Open Insurance ยังได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิด Open Data และ Open Banking ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลทางการเงินและการประกันภัยของประเทศ เพิ่มความโปร่งใส ลดความเสี่ยงเชิงระบบและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว
ประเด็นที่ 9 โครงการ ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง สำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันวินาศภัย ขับเคลื่อนโครงการ ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารเข้าถึงการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค โดยเริ่มนำร่องในจังหวัดขอนแก่น พร้อมมอบตราสัญลักษณ์ให้ร้านที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งถือเป็นการนำแนวคิด Embedded Insurance มาใช้จริงทำให้ระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของบริการร้านอาหาร ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ตั้งเป้าขยายจำนวนร้านอาหารที่ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,000 จาก 30 ร้านในปี 2568 เป็นไม่น้อยกว่า 300 ร้านในระยะถัดไป ควบคู่กับการ พัฒนาระบบลงทะเบียนและการสร้างความรู้ให้ผู้ประกอบการในปี 2569 โดยโครงการดังกล่าวช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของร้านอาหาร เพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคสนับสนุนรายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ตลอดจนขยายฐานตลาดประกันภัยกลุ่ม SME และภาคธุรกิจบริการ สะท้อนบทบาทของระบบประกันภัยในฐานะกลไกบริหารความเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ประเด็นที่ 10 การจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 25692573) ถือเป็น หมุดหมายสำคัญ ของการยกระดับระบบประกันภัยไทยในภาพรวม โดยแผนฉบับนี้มิใช่เพียงแผนงานของหน่วยงานกำกับดูแล หากแต่เป็น Blueprint สำคัญในการยกระดับระบบประกันภัยไทยทั้งระบบ เพื่อให้พร้อมเผชิญอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิดหลักว่า ระบบประกันภัยเป็นกลไกผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงของประเทศ โดยมุ่งเสริมความเข้มแข็งของภาคประกันภัย ยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องหลักสากล และผลักดันการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างระบบประกันภัยที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง พร้อมรองรับภัยขนาดใหญ่และความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ส่งเสริมการเข้าถึงประกันภัยอย่างทั่วถึงรองรับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด และพัฒนาระบบนิเวศข้อมูลประกันภัยที่เชื่อมโยงและใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ ให้ระบบประกันภัยไทยมีความทันสมัย โปร่งใส และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ประเด็นที่ 11 การจัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคลากรประกันชีวิตนานาชาติ ASEAN Life Insurance Leadership Program (ALIP) เป็นการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรและสร้างเครือข่ายผู้นำด้านประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน โดยสำนักงาน คปภ. ร่วมกับกองทุนประกันชีวิต และสมาคมประกันชีวิตไทย จัดทำหลักสูตรโครงการ ALIP โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ลาว กัมพูชา บรูไน ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทประกันชีวิตของไทยและภูมิภาคอาเซียนมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ยกระดับศักยภาพ และร่วมกันออกแบบอนาคตของระบบประกันชีวิตในระดับภูมิภาค เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหาร ความเสี่ยงใหม่ ความยั่งยืน และนวัตกรรมดิจิทัล โดยโครงสร้างหลักสูตรแบ่งเป็น 4 Modules ได้แก่ การสำรวจพรมแดนใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตอาเซียน การวางกลยุทธ์การเติบโตและความยืดหยุ่นขององค์กร การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน และการเปิดโลกแห่งนวัตกรรม ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 3 แกนหลัก คือ Reinforce การเสริมสร้างองค์ความรู้และศักยภาพบุคลากร Connect การเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาค และ Elevate การยกระดับความร่วมมือเชิงนโยบาย จึงนับว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันบทบาทของประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Center of Insurance Excellence อย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นที่ 12 มาตรการทางภาษีเพื่อสังคมสูงวัย สร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพ สำนักงาน คปภ. เห็นความสำคัญของการประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อเป็นทางเลือกหลักในการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการพัฒนารูปแบบบำนาญให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้สามารถจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญในรูปแบบเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่ง เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญครั้งแรก (Lump-Sum) จากเดิมที่จ่ายเป็นจำนวนที่เท่ากันและเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดเท่านั้น เพื่อให้ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เริ่มเกษียณอายุสามารถรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน เพื่อนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่หลากหลายและยังคงได้รับสิทธิการยกเว้นภาษี ประเด็นที่ 13 มาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูของสำนักงาน คปภ. เมื่อเกิดภัยพิบัติหรืออุบัติภัย สำนักงาน คปภ. ดำเนินการทันทีใน 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือ โดยตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ สั่งการให้บริษัทประกันภัยลงพื้นที่ประเมินความเสียหาย และออกมาตรการผ่อนผันแก่ผู้เอาประกันภัยและคนกลางประกันภัย การเยียวยา โดยกำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนเข้าใจสิทธิของตนเองอย่างชัดเจน และการฟื้นฟู โดยสำนักงาน คปภ. ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือและสนับสนุนการบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบข้อมูลความคุ้มครองผ่านแอปพลิเคชัน OIC Connect ได้ตลอดเวลาสะท้อนบทบาทของสำนักงาน คปภ. ในการคุ้มครองสิทธิและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทยในทุกวิกฤตอย่างเป็นรูปธรรม
การขับเคลื่อนทั้ง 13 ภารกิจสำคัญในปี 2568 สะท้อนถึงทิศทางการทำงานของสำนักงาน คปภ. ที่มุ่งยกระดับระบบประกันภัยไทยอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติการคุ้มครองประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคธุรกิจ และการสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยสำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลเชิงรุก การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐาน รวมถึงการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นกลไกบริหารความเสี่ยงที่ประชาชนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ และสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ความมั่นคง โปร่งใส และยั่งยืนอย่างแท้จริง
Go To Lead
|
TQM มอบฟรีประกันภัยอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท รับเทศกาลปีใหม่
ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า TQM ได้ร่วมมือกับ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในการมอบกรมธรรม์ประกันภัยอุ่นใจข้ามปี (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยกรมธรรม์ดังกล่าวให้ความคุ้มครองกรณีอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท พร้อมค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000 บาทเป็นระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่เริ่มคุ้มครอง
ทั้งนี้ TQM มีเป้าหมายในการช่วยบรรเทาความสูญเสียเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง พร้อมส่งเสริมการรับรู้และการเข้าถึงประกันภัยในกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2569 สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์กรมธรรม์ประกันภัยอุ่นใจข้ามปี ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/4pSHGIY หรือที่ศูนย์บริการ TQM ทั่วประเทศ ทั้งนี้ รายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขเป็นไปตามที่ ระบุไว้ในกรมธรรม์
อนึ่ง บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด (TQM) มอบฟรีกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุ ประกันภัยอุ่นใจข้ามปี เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท พร้อมค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000 บาท
Go To Lead
|
กรุงเทพประกันภัยส่งต่อพลังใจให้คนรุ่นใหม่-กรมสุขภาพจิต ต่อยอดแนวคิด
ยินดีที่ได้รู้ใจ ชวน เขื่อน-หมอฟรัง ร่วมเสริมเกราะป้องกันใจ ณ มทร.พระนคร
ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้ขยายความถึงการรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดูแลสุขภาวะทางใจว่า ความเศร้าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเมื่อความเศร้านั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เรียนไม่ได้ ทำงานไม่ไหว หรือเริ่มละเลยการดูแลสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณที่ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมาก การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) พูดคุยเพื่อคลายเหงาอาจช่วยได้บ้าง แต่ไม่ควรปล่อยให้มาแทนที่ความสัมพันธ์จริงกับคนรอบข้าง สิ่งสำคัญคือเราต้องหมั่นสำรวจอารมณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพจิตที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการลงมือสร้างผ่านพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งทางใจ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การทำกิจกรรมที่ช่วยเติมพลังใจ รวมถึงการเปิดใจพูดคุยเมื่อรู้สึกไม่ไหว เพื่อให้เราสามารถรู้เท่าทันและจัดการกับความรู้สึกต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
เขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ นักจิตบำบัดและเจ้าของแคมเปญ จุดพักใจ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักตนเองและการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจว่า การรักตนเองเป็นจุดเริ่มต้นของการรักคนอื่นอย่างถูกวิธี เพราะเมื่อเราให้คุณค่ากับความรู้สึกและความต้องการของตนเองแล้ว เราจะสามารถเข้าใจผู้อื่นได้อย่างสมดุล หลายครั้งที่เรามุ่งให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป พยายามเป็น People Pleaser จนหลงลืมความต้องการแท้จริงของตนเอง จึงอยากชวนให้ลองถามตนเองบ่อยๆ ว่า วันนี้เราไหวไหม และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่บั่นทอนใจ พร้อมสร้างขอบเขตที่ชัดเจนในการคบหาผู้คน ซึ่งไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการเสริมเกราะทางใจให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ ยังไม่ควรตัดสินความทุกข์ของใครว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่ทำได้คือการอยู่เคียงข้าง ทำให้เขารู้ว่าแม้ในวันที่โลกใจร้าย เขาไม่ต้องเผชิญเรื่องร้ายเพียงลำพัง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่แข็งแรงทั้งกับตนเองและผู้อื่น
ปิดท้ายด้วยมุมมองของ หมอฟรัง นรีกุล เกตุประภากร ศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์การก้าวข้ามความกดดันว่า เคยเป็นคนที่แบกความคาดหวังไว้หนักอึ้ง จนวันหนึ่งค้นพบว่าเราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในสายตาใคร แค่มีความสุขในแบบที่เป็นเราก็เพียงพอแล้ว หันมาฟังเสียงหัวใจตนเองให้มากขึ้น และสิ่งสำคัญคืออย่าคาดหวังว่าความแหลกสลายหรือความเจ็บปวดทางใจจะหายไปชั่วข้ามคืน ขอให้เชื่อมั่นว่าการเยียวยาจิตใจนั้นต้องใช้เวลา ตราบใดที่กราฟชีวิตโดยรวมของเราดีขึ้น นั่นแปลว่าเรากำลังก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับคอมเมนต์ด้านลบในโซเชียลมีเดีย ขอให้เลือกรับและปล่อยผ่านสิ่งที่ไม่จริงทิ้งไป อย่าเก็บมาทำร้ายจิตใจตนเอง เพราะเราห้ามไม่ให้ใครมาตัดสินเราไม่ได้ แต่เลือกได้ว่าจะไม่รับมาใส่ใจ เพียงให้คุณค่ากับความรู้สึกและความต้องการของตนเอง แล้วค่อยๆ ดูแลใจไปตามเวลา ก็จะสามารถก้าวผ่านความกดดันและสร้างความสุขในแบบของเราเองได้
บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรม กรุงเทพประกันภัย ส่งเสริมสุขภาพใจ ใส่ใจสุขภาพจิต ภายใต้แนวคิด ยินดีที่ได้รู้ใจ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตในสถาบันการศึกษา และเสริมสร้างสุขภาวะทางใจที่ดีให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยมุ่งหวังให้สังคมไทยเป็นสังคมที่พร้อมรับฟังและเข้าใจซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ที่สนใจรับคำปรึกษาด้านสุขภาพจิต สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมสุขภาพจิต โทร. 1323 หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อดูแลสุขภาวะทางใจได้อย่างเหมาะสม
Go To Lead
|
ทิพยประกันภัย ขับเคลื่อนศาสตร์พระราชา: ศึกษานวัตกรรม
พลังงานสะอาดและวิถีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ณ เขื่อนอุบลรัตน์
วิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวคิดหลักของการจัดโครงการครั้งนี้ว่า ศาสตร์พระราชาสอนเราว่า น้ำคือชีวิต และพลังงานคือรากฐานของการพัฒนา เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างเข้าใจ ใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าสูงสุด และสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนตั้งแต่วันนี้ การมาตามรอยที่เขื่อนอุบลรัตน์คือการกลับไปมองรากฐานความคิดของพ่อหลวง เพื่อให้เราพัฒนาประเทศอย่างมีปัญญาและมีหัวใจเดียวกับประชาชน นอกจากนี้ คณะผู้เข้าร่วมยังได้ร่วมกิจกรรมคืนสมดุลให้ใจกาย ด้วย อาบป่า (Forest Bathing / ชินริน-โยกุ) และ Awakening Walk ก้าวแห่งการตื่นรู้ ในพื้นที่ป่าของเขื่อนอุบลรัตน์ บรรยากาศร่มรื่น เสียงสายน้ำและใบไม้ เสียงนกร้อง และกลิ่นอายของผืนป่า ช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ปลดปล่อยความกังวล ผสานเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจัยระบุว่า ช่วยลดความเครียด เสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสมดุลกาย-ใจ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยการอาบป่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจว่า ธรรมชาติคือทรัพยากรที่มีคุณค่า เมื่อนำมาดูแลอย่างตั้งใจ ก็สามารถให้ประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในขณะที่ Awakening Walk ก้าวแห่งการตื่นรู้ คือการเดินอย่างมีสติในเส้นทางธรรมชาติ พลางรับรู้เสียง สัมผัส และบรรยากาศโดยรอบอย่างตั้งใจ เป็นเสมือนการปลุกให้ใจ ตื่น จากความวุ่นวายของชีวิตเมือง ให้กลับมาเชื่อมโยงกับรากเหง้าและธรรมชาติ สะท้อนแนวคิดว่า การพัฒนาไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้าง หรือเทคโนโลยี แต่คือการคืน ความสมดุล ให้กับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม กิจกรรมทั้งสองจึงทำหน้าที่เสริม พลังใจพลังสติพลังธรรมชาติ ให้กับทุกคนที่มาเข้าร่วมโครงการครั้งนี้อย่างชัดเจน จากนั้นคณะผู้เข้าร่วมได้ร่วมทำกิจกรรมฟื้นฟูระบบนิเวศบริเวณพื้นที่ป่าต้นน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ ผ่านกิจกรรมปลูกป่า ในบริเวณพื้นป่าต้นน้ำเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการเสริมความสมบูรณ์ของลุ่มน้ำ ก่อนทำกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพอ่างเก็บน้ำและแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ซึ่งเป็น ห้องเรียนธรรมชาติ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเห็นภาพของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างสอดคล้องและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคม โดยคณะได้จัดกิจกรรม การปล่อยปลาไถ่ชีวิตเป็นมหาทาน และการมอบชุดหนังสือจากโครงการ อมรินทร์อาสาอ่านพลิกชีวิต ให้กับโรงเรียนอุบลรัตน์พิทยาคม จังหวัดขอนแก่น เพื่อเสริมโอกาสด้านการอ่านและการเรียนรู้ให้กับเยาวชนในพื้นที่ ตอกย้ำบทบาทของโครงการที่มุ่งสร้าง ความยั่งยืนทางปัญญา เคียงคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทางโครงการยังจัดให้มีการสัมมนาและเวิร์คช็อปเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแบ่งปันความรู้ อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และอาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม ที่ปรึกษาและอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ผู้คิดค้นนวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 หรือ Interactive Board Game หนึ่งเดียวในโลก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2030
โครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย มูลนิธิธรรมดี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม คุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานขอนแก่น ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งต่อไปสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เฟซบุ๊ก: ตามรอยพระราชา-The King's Journey โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่านจะได้รับประกาศนียบัตรซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาจากคุรุสภาได้
Go To Lead
|
TVI คว้ารางวัลจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย
นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รางวัลนี้ไม่เพียงสะท้อนความภาคภูมิใจของพวกเราชาวประกันภัยไทยวิวัฒน์ แต่ยังตอกย้ำความตั้งใจขององค์กรตลอดกว่า 75 ปี ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคใหม่ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมประกันภัยที่ช่วยให้คนไทย ใช้ชีวิตได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยง พร้อมยกระดับมาตรฐานการบริการ เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทุกภาคส่วน ด้วยหัวใจที่จริงใจและซื่อสัตย์ ผลจากการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลอย่างเข้มแข็งนี้ ทำให้องค์กรสามารถสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง คู่ค้ามีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการร่วมมือระยะยาว ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่โปร่งใส ยุติธรรม และตอบโจทย์ความต้องการ
ขณะเดียวกันองค์กรยังสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินงานที่เป็นธรรม สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการผลักดันโครงการเพื่อสังคมที่สร้างผลลัพธ์อย่างยั่งยืน และในมิติการพัฒนาองค์กรสู่อนาคต ประกันภัยไทยวิวัฒน์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ผ่าน 3 แกนหลักซึ่งเป็นหัวใจขององค์กรยุคใหม่ ได้แก่ Innovation for Life การยกระดับบริการด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล เช่น การพัฒนานวัตกรรมประกันภัยตามการใช้งานจริง (Usage-based) และการออกแบบผลิตภัณฑ์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล
ด้าน Governance & Transparency องค์กรยังคงมุ่งพัฒนามาตรฐานธรรมาภิบาลอย่างเข้มแข็ง โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับ Impact for Society ผ่านโครงการเพื่อสังคมและกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ให้ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและร่วมผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับประเทศ ด้วยกรอบคิดและความมุ่งมั่นดังกล่าว ประกันภัยไทยวิวัฒน์จึงตั้งเป้าสู่การเป็น องค์กรนวัตกรรมประกันภัยแห่งความยั่งยืน ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ที่ให้ความเชื่อมั่นกับคนไทยทั้งในด้านความโปร่งใส ทันสมัย และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคมไทยในระยะยาวอย่างแท้จริง
รางวัลจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 เพื่อเชิดชูองค์กรต้นแบบที่โปร่งใส มีบรรษัทภิบาล และรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม องค์กรที่ได้รับรางวัลล้วนเป็นพลังสำคัญในการยกระดับธุรกิจไทยและสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|