Insurance
Go to  i click
Hot News: คปภ. เปิดโรดแมป “ประชาชน-ภาคธุรกิจ-หน่วยงานกำกับ” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2568
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
คปภ. เปิดโรดแมป “ประชาชน-ภาคธุรกิจ-หน่วยงานกำกับ”
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2568
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ.ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2569 ภาพรวมของธุรกิจประกันภัยไทยจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงทั้งระบบแตะที่ 1,000,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สำนักงาน คปภ. โดยด้านและสายงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ประจำปี 2568 โดยแบ่งการขับเคลื่อนการดำเนินงานออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
ส่วนที่ 1 ประชาชน สามารถใช้ระบบประกันภัย เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงโดยได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมและการบริการที่ได้มาตรฐาน อาทิ ลดเรื่องร้องเรียนที่มีปริมาณมากที่สุดคือข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ ดังนั้นจึงควรกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถให้เป็นจำนวนที่ชัดเจนไม่กำหนดเป็นขั้นต่ำ และกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ให้สามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถยนต์กรณีเป็นฝ่ายถูกของตนเองไว้ และเฉพาะประเภท 1 กำหนดเป็น Knock for Knock รวมทั้งยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของสาขาบริษัทประกันภัยในส่วนภูมิภาค ให้มีความเข้มแข็ง โปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัยไทย โดยจะมีการตรวจสาขาบริษัทประกันภัย ในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความใกล้ชิดและให้บริการโดยตรงกับประชาชน โดยเป็นการตรวจติดตาม การดำเนินการตามประกาศ คปภ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตเปิดสาขาย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ หรือสาขา หรือเลิกสาขาของบริษัทประกันวินาศภัย/ประกันชีวิต พ.ศ. 2565 โดยจะเริ่มเข้าตรวจในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป และจะมีการประสานความร่วมมือส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมของไทย อย่างเป็นระบบอีกด้วย
นอกจากนี้จะมีการทบทวนความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ โดยสำนักงาน คปภ. จะทบทวนความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงภัยและสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสมกับค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน อีกทั้งจะมีการผลักดัน การจำหน่ายกรมธรรม์รถภาคบังคับผ่านช่องทาง online และการออกกรมธรรม์รถภาคบังคับในรูปแบบ e-Policy ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อความต้องการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และจัดโครงการส่งเสริมความปลอดภัยเพื่อลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยจะเน้นการศึกษาวิจัยเพื่อหามาตรการที่มีประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุทางถนน ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยตั้งเป้าเริ่มต้นที่จังหวัดปราจีนบุรีก่อนขยายผลไปในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้าน ESG และมาตรการเชิง
ป้องกันของภาคธุรกิจประกันภัย โดยสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัย ดำเนินการจัดกิจกรรมเชิง ESG สร้างความตระหนักรู้ของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยในการใช้มาตรการเชิงป้องกันความเสียหาย (Preventive Measures) รวมทั้งส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยในโรงเรียน/สถานศึกษา ผ่านโครงการยุวชนนักสื่อสารประกันภัยภัยรุ่นใหม่ ปี 2568 (Insurefluencer the new GEN 2025) มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ API Gateway เพื่อรองรับการให้บริการ OIC Gateway และ App ทางรัฐ ที่มีแนวโน้มการใช้บริการมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มบริการตรวจสอบพฤติกรรม ขับขี่เพื่อใช้เป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยต่อไป
ส่วนที่ 2 ธุรกิจประกันภัย มีเสถียรภาพความมั่นคง ปรับตัวได้เท่าทันความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อาทิ มีการกำกับบริษัทประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group Wide Supervision) ในระดับ Solo Consolidation ที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติกรรมการ แนวทางการติดตามการถือหุ้นธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และระดับ Full Consolidation จะมีการพิจารณาหารือกับหน่วยงานการกำกับดูแลภาคการเงิน/ภาคการประกันภัยจากในประเทศและต่างประเทศ เพื่อกำหนดหลักการกำกับดูแลในระดับ Full Consolidation ซึ่งจะครอบคลุมการกำกับบริษัทที่เป็นบริษัทแม่ของบริษัทประกันภัย รวมถึงบริษัทร่วมและบริษัทที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 และมีการทบทวนหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย (All Risks Calibration / Catastrophe Risk / Group Capital - for Group Risk) และมีการปรับเพิ่มอัตราการวางเงินสำรอง UPR โดยจัดกลุ่มบริษัทตามศักยภาพ ในการดำเนินงานและความมั่นคงของบริษัท โดยมีแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ อีกทั้งจะมีการปรับปรุงประกาศ คปภ. ว่าด้วยการลงทุนประกอบธุรกิจอื่น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ (EWS / Group-Wide Supervision / Risk Proportionality) มีการยกระดับการกำกับดูแลและการตรวจสอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง ERM-ORSA / Examination Form / Stress Test / แบบจำลองมาตรฐาน และมีการจัดทำคู่มือ/กรอบแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐานของการจัดทำรายงานทางการเงินตาม TFRS 17 รวมทั้งทบทวน/ปรับปรุง EWS ให้สอดคล้องกับ TFRS 17
นอกจากนี้มีการเตรียมความพร้อมในการผลักดันร่างกฎหมายแม่บท และจัดเตรียมร่างกฎหมายลำดับรอง โดยสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. กลุ่ม 2 (บทบัญญัติเกี่ยวกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคง) และสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. กลุ่ม 3 (บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ) รวมทั้งมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ทันสมัย เชื่อมโยงฐานข้อมูลไปยังหน่วยงานภาคีเครือข่าย และมีการจัดทำระบบแสดงพฤติกรรมฐานข้อมูลฉ้อฉลประกันภัยหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าอาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัยของตัวแทน/นายหน้าประกันภัย เพื่อให้บริษัทประกันภัยเข้าใช้งานระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งมีการยกระดับการกำกับดูแลคนกลางประกันภัยด้วยแนวทาง Conduct Risk-Based รวมทั้งยกระดับมาตรฐานความรู้และการดำเนินงานของคนกลางประกันภัยให้มีคุณภาพ
ในขณะเดียวกันก็จัดทำแผนยุทธศาสตร์ประกันสุขภาพภาคเอกชน เพื่อกำหนดภูมิทัศน์ด้านประกันภัยสุขภาพภาคเอกชนของประเทศไทย (Health Insurance Landscape in Thailand) รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ โดยปรับปรุงและพัฒนาหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถกำหนดอัตราเงินค่าเวนคืนดามกรมธรรม์ที่ต่ำลงได้หรือที่เรียกว่า Low cash surrender value (Low CSV) ที่ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคและส่งเสริมโอกาสให้แก่บริษัทในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ในประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศได้มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการพัฒนาและส่งเสริมการประกันภัยพืชผล โดยสนับสนุนการประกันภัยการเกษตร ให้ครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รวมถึงการหารือกับภาคธุรกิจประกันภัยต่อต่างประเทศถึงความสนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการสำรวจภัย และมีการทบทวนความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ของบุคคลภายนอกของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมทั้งจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 เพื่อเพิ่มศักยภาพภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัย และมีการ Open Insurance ซึ่งเป็นแผนการพัฒนาการให้บริการการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เริ่มจากการเชื่อมโยงข้อมูลภายในภาคประกันภัย (Open Insurance) ในปี 2568 จากนั้น จึงจะขยายการเชื่อมโยงใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีในภาคส่วนอื่นๆ (Open Data) ในปี 2569 อีกทั้งจะมีการจัดทำ AI Governance Guideline สำหรับธุรกิจประกันภัย เพื่อให้มีกรอบแนวทางในการกำกับดูแลให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่สอดรับกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนสร้างประเทศไทยให้มี Insurance Community เป็น Hub of Insurance ของภูมิภาคอาเซียน และเสริมสร้าง Insurance Literacy ด้วยการขยายบทบาทภารกิจของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สู่การเป็น Research & Development Center ของประเทศไทย และดำเนินการให้เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ รวบรวม จัดเก็บ และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการประกันภัย (Insurance Learning Center) ไปพร้อมๆกับการสร้างมาตรฐานทางวิชาชีพของบุคลากรประกันภัย โดยเริ่มจากการจัดทำหลักสูตรนานาชาติ สำหรับผู้กำกับดูแลและบุคลากรประกันชีวิต เป็นต้น
ส่วนที่ 3 ขับเคลื่อนสำนักงาน คปภ. เป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูง อาทิ ปรับกระบวนการทำงาน Team-based / Project-based เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น และมุ่งสู่ AI Driven Organization โดยขับเคลื่อนการดำเนินการผ่าน AI Champion และนำ AI เข้ามาใช้ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ มีการยกระดับการบริหารผลงาน ด้วยการตั้งเป้าหมายการทำงานด้วย OKRs ที่ชัดเจนและท้าทาย รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชามีการติดตามการทำงาน ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการทำงาน (Coaching & Feedback) อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนทำการประชาสัมพันธ์สำนักงาน คปภ.ในเชิงรุกและหลากหลาย โดยการบูรณาการความร่วมมือด้านการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัยให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนเพิ่มมากขึ้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า หัวใจสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนนโยบายและการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. คือ การทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยทั้งระบบเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยการสร้างความร่วมมือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องด้านการประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัยนิติบุคคล ตัวแทนประกันภัย และสื่อมวลชนทุกช่องทางเพื่อเป็นสื่อกลางนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร แนวทางการดำเนินงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ของสำนักงาน คปภ. ออกสู่สาธารณชนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยไทย

Go To Lead


ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ตั้งเป้าหมาย 8,500 ล้าน 'ชู' ESG ผสานธุรกิจครอบคลุม
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้าน InsurTech ของไทย เปิดเผยว่า ประกันภัยไทยวิวัฒน์มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจตามกรอบ ESG ที่คำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคมและชุมชน (Social) รวมถึง ธรรมาภิบาลที่ดี (Governance) โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมประกันภัยเพื่อความยั่งยืนเป็นหัวใจหลัก ภายใต้แนวคิด "Beyond Insurance มากกว่าการประกันภัย" ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการด้านการประกันภัยใหม่ ๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการและรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคไปพร้อมกับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่า

แผนธุรกิจในปี 2568 ตั้งเป้าหมายใหญ่เพื่อผลักดันให้คนไทยเข้าถึงการประกันภัยมากยิ่งขึ้น เพราะเราเชื่อว่าการประกันภัยไม่ใช่แค่เรื่องของความคุ้มครอง แต่เป็นพื้นฐานของการวางแผนอนาคตที่ดี ไทยวิวัฒน์จึงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงประกันภัยได้ง่ายขึ้น จ่ายเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละไลฟ์สไตล์ พร้อมสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมควบคู่กันไป ด้วยการยกระดับการพัฒนานวัตกรรมประกันภัย ทั้งกลุ่ม Motor และ Non – Motor ในรูปแบบของ Digital Product ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละท่าน และ Digital Service ที่เพิ่มศักยภาพในการให้บริการโดยไม่เพิ่มต้นทุน ควบคู่ไปกับขยายความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ ๆ และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการประกันภัยที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าผลักดันเบี้ยรับรวมโตทะลุ 8,500 ล้านบาท

ด้าน นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ กล่าวต่อว่า “นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนานวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค สร้างความสะดวกในการที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงการประกันภัยได้มากยิ่งขึ้นและการบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันอย่างไร้รอยต่อ บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อสังคมที่ยั่งยืนโดยเน้นส่งเสริมใน 3 ด้านดังนี้”

ด้านสังคม– ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการประกันภัย พร้อมเพิ่มช่องทางการขายเพื่อให้คนไทยเข้าถึงการประกันภัยได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่โดนเด่นและยังไม่มีบริษัทประกันวินาศภัยใด ๆ ในประเทศสามารถนำเสนอต่อคนไทยได้คือ การประกันรถเปิดปิด นวัตกรรมประกันภัยรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้เอาประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 80% และยังให้ความคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการประกันภัยได้ในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจผู้บริโภคแล้ว

ล่าสุดทางบริษัทได้พัฒนาเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการประกันรถเปิดปิด คือ “รถติด ไม่คิดเบี้ย” ตอบโจทย์คนเมืองใช้รถ โดยขณะรถติดก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน ซึ่งหลังจากมีการเปิดตัวได้ทำการคืนชั่วโมงความคุ้มครองให้กับลูกค้าแล้วกว่า 4 ล้านนาที และเพื่อเป็นการส่งต่อสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม ทางบริษัทยังได้ริเริ่มโครงการ Thaivivat Caring Forward คิดเผื่อเพื่อสังคม ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการทำประกันภัยที่สามารถช่วยเหลือสังคมได้ เพียงลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการขับรถปลอดภัย ผ่าน Application Thaivivat นอกจากผู้เอาประกันภัยจะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประวัติดีตอนต่ออายุประกันภัยแล้ว บริษัทฯ ยังมอบสิ่งดี ๆ เพิ่มให้กับผู้เอาประกันภัยที่ขับรถปลอดภัย โดยบริจาคเงินในนามผู้เอาประกันภัยกับมูลนิธิเพื่อสังคมที่ผู้เอาประกันได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งผู้เอาประกันจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากยอดเงินบริจาคนี้ ซึ่งจากการเปิดตัวเพียง 4 เดือน มีผู้เอาประกันภัยให้ความสนใจเป็นจำนวนมากถึง 10,000 กรมธรรม์ ทางบริษัทจึงมีการขยายระยะเวลาการลงทะเบียนถึง 31 ธันวาคม 2568 เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนผ่าน Application Thaivivat ได้มีส่วนร่วมในการทำความดีคืนสู่สังคมได้มาขึ้น

ด้านเยาวชนและการศึกษา – ทางบริษัทเชื่อว่าการพัฒนาด้านการศึกษาและการเพิ่มศักยภาพให้กับเยาวชนถือเป็นรากฐานและแนวทางขับเคลื่อนการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ บริษัทฯจึงได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สนับสนุนโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา”หรือ Partnership School เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยพัฒนาตนเอง และเตรียมความพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยในความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากทางบริษัทให้สนับสนุนด้านทุนการศึกษาแล้ว ทางบริษัทยังได้สนับสนุนในการเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษให้นักเรียนและครู พร้อมวางระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Smart e-Learning Innovation ในโรงเรียนที่ทางกระทรวงศึกษาธิการคัดเลือกให้เข้าโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาในแต่ละจังหวัด โดยทางบริษัทได้เป็นผู้สนับสนุน 5 โรงเรียนใน 5 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดพัทลุง จังหวัดสตูล จังหวัดระนอง จังหวัดยโสธร และ จังหวัดพะเยา นอกจากโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาแล้ว ทางบริษัทยังได้ส่งเสริมด้านนวัตกรรมให้กับเด็กและเยาวชน ผ่านโครงการ Thaivivat Innovation Awards โครงการประกวดนวัตกรรมประกันภัยสร้างสรรค์ ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนคิดและนำเสนอไอเดียในการพัฒนาประกันภัยเพื่อจัดการความเสี่ยงในสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีองค์ประกอบของ IoT, AI, Big Data และ Lifestyle ในผลงาน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และมีน้อง ๆ ให้ความสนใจและเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 1,500 คน จากสถาบันการศึกษากว่า 100 สถาบัน ทั้งในกรุงเทพปริมณฑลและในภูมิภาค โดยโครงการที่ได้นำเสนอเข้ามาแข่งขันใน โครงการ Thaivivat Innovation Awards ถึงปัจจุบันมี กว่า 300 โครงการ

ด้านสิ่งแวดล้อม - เพราะทางบริษัททราบดีว่าความยั่งยืนนั้นไม่ใช่แค่เรื่องการประกอบธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่การดูแลโลกของเราให้คนรุ่นต่อไปก็เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องให้ความใส่ใจ บริษัทฯ จึงนำแนวคิดที่จะนำ Greenovation และ Digital Transformationมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มการดำเนินงานจากภายในองค์กรผ่านโครงการ Thaivivat Greenovation เปลี่ยนโลกด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้กับพนักงาน เปลี่ยนของใช้มาเป็นของใช้ที่สามารถนำมารีไซเคิลต่อได้ อาทิ ของชำร่วย ยูนิฟอร์มพนักงาน รวมถึงน้ำดื่มของบริษัทและส่งเสริมการแยกขยะให้ถูกวิธีมาเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเรื่องความยั่งยืนภายในองค์กรเพราะต้องการจุดประกายและส่งเสริมให้พนักงานได้ตระหนักและหันมาให้ความสำคัญจากเรื่องใกล้ตัว อีกทั้งยังมีการดำเนินงานด้าน Digital Transformation ผ่านการใช้งานบน Thaivivat Application เพื่อลดการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้เทคโนโลยี AI ตรวจสภาพรถก่อนทำประกัน เพื่อลดการขับขี่ส่งเสริมการลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, ลดการใช้กระดาษด้วยการออกกรมธรรม์แบบ e-Policy รวมถึงการเคลมประกันผ่าน e-Claim โดยไม่ต้องใช้เอกสารและลดการเดินทางของพนักงานในการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินที่เอาประกัน

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com