Finance/share
Hot News: เป๋าตัง - blueplus+ เสิร์ฟโปรคู่สุดคุ้ม รับคนละแก้ว
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
เป๋าตัง - blueplus+
เสิร์ฟโปรคู่สุดคุ้ม รับคนละแก้ว
แอปฯ เป๋าตังจากอินฟินิธัส บายกรุงไทย จับมือกับแอปฯ blueplus+ ของ OR พร้อมส่งโปรแรงปลายปีแบบคุ้ม 2 ต่อให้ผู้ใช้งานใหม่ได้อัปเกรดไลฟ์สไตล์ดิจิทัลแบบเต็มสปีด รับคนละแก้ว!* เพียงสมัครสมาชิก blueplus+ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ก็รับทันที 250 bluepoint หรือเทียบเท่ามูลค่า 50 บาท สำหรับแลกเครื่องดื่ม Caf? Amazon ฟรี 1 แก้ว
แอปฯ เป๋าตังจากอินฟินิธัส บายกรุงไทย จับมือกับแอปฯ blueplus+ ของ OR พร้อมส่งโปรแรงปลายปีแบบคุ้ม 2 ต่อให้ผู้ใช้งานใหม่ได้อัปเกรดไลฟ์สไตล์ดิจิทัลแบบเต็มสปีด รับคนละแก้ว!* เพียงสมัครสมาชิก blueplus+ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ก็รับทันที 250 bluepoint หรือเทียบเท่ามูลค่า 50 บาท สำหรับแลกเครื่องดื่ม Caf? Amazon ฟรี 1 แก้ว และยังได้คูปองส่วนลดเพิ่มอีก 50 บาทเมื่อสมัครเป๋าตังเปย์ครั้งแรก ตอบโจทย์ทั้งสายคุ้มและสายคาเฟ่ที่กำลังมองหาดีลดี ๆ ส่งท้ายปีที่ไม่ควรพลาด โดยโปรโมชั่นคู่จัดเต็มสำหรับ ผู้ใช้ใหม่บนแอปฯ blueplus+ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เปิดให้ร่วมตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2568 – 31 มกราคม 2569*
เป๋าตัง และ blueplus+ เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการเชื่อมระบบสมาชิกบนแอปฯ เป๋าตัง ให้สมัครง่ายขึ้น แล้วไปใช้พอยท์ต่อบนแอปฯ blueplus+ ได้ทันที พร้อมส่งโปรแรงปลายปีด้วยสิทธิประโยชน์สูงสุด 2 ต่อ!*
ต่อที่ 1 รับ bluepoint 250 คะแนน เมื่อสมัครสมาชิก blueplus+ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง และล็อกอินที่แอปฯ blueplus+ ครั้งแรก** โดยตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 ลูกค้าที่สมัครสมาชิก blueplus+ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง และล็อกอินแอปฯ blueplus+ ครั้งแรกเท่านั้น จะได้รับคะแนน bluepoint 250 คะแนน (เทียบเท่ามูลค่า 50 บาท สำหรับแลกเครื่องดื่มมูลค่า 50 บาท ได้ฟรี 1 แก้ว ที่ร้าน Cafe Amazon ทุกสาขา ตลอดระยะเวลากิจกรรมส่งเสริมการขาย)
ต่อที่ 2 รับคูปองส่วนลด 50 บาท*** เมื่อสมัครเป๋าตังเปย์เป็นครั้งแรกบนแอปฯ เป๋าตัง และยืนยันตัวตนสำเร็จ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568 สามารถใช้คูปองส่วนลดสำหรับทำธุรกรรม ชำระบิล เติมเงินมือถือ ตรวจเครดิตบูโรหรือสแกนจ่ายที่ร้านค้าถุงเงินที่ร่วมรายการและเลือกชำระด้วย เป๋าตังเปย์วอลเล็ต
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯ กำหนด
**คะแนน blueplus+ bluepoint จะได้รับภายใน 24 ชม. หลังจากล็อกอินเข้าใช้งานแอปฯ blueplus+ ครั้งแรกและจะสามารถใช้ได้ในวันถัดไป จำกัด 1 สิทธิ์/คน และจำกัดรวม 500,000 สิทธิ์แรก ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย เว้นแต่จะครบตามจำนวนสิทธิ์ที่กำหนดก่อนครบระยะเวลาในแต่ละช่วงของกิจกรรม ***จำกัด 1 สิทธิ์/ลูกค้า ตลอดระยะเวลากิจกรรมส่งเสริมการขาย

Go To Lead


ธ.ก.ส. คว้ารางวัล “สุดยอดธนาคารแห่งปี 2568”
Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 16
นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้แทนธนาคารเข้า
รับรางวัล Bank of the Year : สุดยอดธนาคารแห่งปี 2568 จากเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย ในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 16” ซึ่งรางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงภารกิจ ธ.ก.ส. ที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้สร้างและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก สามารถเชื่อมโยงการสนับสนุนทางการเงินควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพทางการเกษตร การเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ทำให้เกิดการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งยังได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการทั้งด้านความมั่นคงทางการเงินและผลกระทบทางสังคมที่วัดผลได้ ภายใต้นโยบายแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) ที่ขับเคลื่อนใน 4 มิติ คือ 1. Funding สนับสนุนเงินทุนที่พอเพียงและตรงกับความต้องการของลูกค้า 2. Knowledge and Marketing สร้างองค์ความรู้ในการผลิตและช่องทางการตลาด 3.Technology การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิต และ 4. Added Value สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อม มุ่งสู่การสร้างความมั่นคงในการดูแลสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลัก BCG โดยสนับสนุนการสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านโครงการ BAAC Carbon Credit เช่น โครงการจัดเก็บคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ในโครงการธนาคารต้นไม้ โครงการใช้ต้นยางพาราเป็นหลักประกันการกู้เงินและสนับสนุนให้มีการจัดเก็บคาร์บอน โครงการข้าวลดโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซมีเทนในนาข้าว โครงการปลอดการเผาเพื่อลด PM 2.5 เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์นโยบายของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ซึ่งเป็นกระแสสำคัญของโลก โดยมีนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้มอบรางวัล
นอกจากนี้ภายในงาน ธ.ก.ส. ยังได้นำผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาให้บริการประชาชนมากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์เงินฝากแก้วมรกต สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ขุนแผนมรกต สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดมังกรหยก สลากออมทรัพย์ธ.ก.ส. ชุดถุงเงิน ชุดขวัญถุง และสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. และโปรโมชันสุดพิเศษในการรับสิทธิ์ลุ้นจุ่ม Art Toy AGRI ANIMAL เหล่าบรรดาสัตว์ในภาคการเกษตรสุดคิวท์ที่น่ารักชวนให้สะสม รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการเงิน โชว์รูมสินค้าแกลมเกษตรสุดพรีเมียมจากเกษตรกรลูกค้าธ.ก.ส. กว่า 70 รายการ โชว์รูมกระปุก ธ.ก.ส. แห่งความทรงจำโดยรวมกระปุกออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่หาดูได้ยากมาให้ประชาชนได้ถ่ายรูป เป็นที่ระลึกในงาน ระหว่างวันที่ 5-7 ธันวาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว กรุงเทพ

Go To Lead


ก.ล.ต. ขยายเวลา'นำส่ง'งบการเงินฉบับแก้ไขให้ SAM
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขยายระยะเวลานำส่งงบการเงินประจำปี 2567 และงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ฉบับแก้ไข ให้บริษัท สามชัย สตีล อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (SAM) ซึ่งครบกำหนดส่งต่อ ก.ล.ต. ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เป็นภายในวันที่ 8 มกราคม 2569 ตามที่ ก.ล.ต. แจ้งให้ SAM แก้ไขงบการเงินประจำปี 2567 และงวดไตรมาส 2 ปี 2568 รวมถึงงวดที่แสดงเปรียบเทียบที่ได้รับผลกระทบ และให้นำส่งงบการเงินฉบับแก้ไขที่ผ่านการตรวจสอบและสอบทานจากผู้สอบบัญชีต่อ ก.ล.ต. รวมถึงรายงานการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 พร้อมทั้งเปิดเผยงบการเงินและรายงานฉบับที่แก้ไขต่อสาธารณชนผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ระบบ SETLink) ภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 อันสืบเนื่องจากผลการตรวจสอบกรณีพิเศษ (special audit) ของ SAM ที่ได้รายงานต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ตามการสั่งการของ ก.ล.ต. ในประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการขายสินค้าต่ำกว่าราคาทุน นั้นต่อมา SAM มีหนังสือขอขยายระยะเวลาการนำส่งงบการเงินประจำปี 2567 และงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ฉบับแก้ไขออกไป เนื่องจาก SAM อยู่ระหว่างการติดต่อขอความร่วมมือไปยังผู้สอบบัญชีที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้ตรวจสอบและสอบทานงบการเงินประจำปี 2567 และงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ฉบับแก้ไข
ก.ล.ต. พิจารณาแล้วจึงขยายระยะเวลาการนำส่งและการเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2567 และงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ฉบับแก้ไข ซึ่งผ่านการตรวจสอบและสอบทานจากผู้สอบบัญชี รวมทั้งรายงานที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณชนผ่านระบบ SETLink เป็นภายในวันที่ 8 มกราคม 2569

Go To Lead


กสิกร อินเวสเจอร์ ส่ง เลนด์โนเวท ปั้น “สินเชื่อสต็อกไวเวอร์”
นางสาวศุภนีวรรณ จูตระกูล Executive Chairman บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด หรือ เคไอวี เปิดเผยว่า เคไอวีเป็นบริษัทโฮลดิ้งภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในบริษัทที่มีส่วนช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการให้บริการการเงินแก่ลูกค้ารายย่อย พบว่าหนึ่งในปัญหาสำคัญของกลุ่มร้านค้ารายย่อย คือ การไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อทำการค้าขาย รวมถึงการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การชำระหนี้ ทำให้ต้องหันไปกู้เงินนอกระบบ และตกอยู่ในวังวนของการจ่ายดอกเบี้ยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภารกิจของเคไอวีคือการลงทุนในบริษัทที่มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ให้สามารถมีเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัว จึงได้จับมือกับพันธมิตรเพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการให้บริการ โดยมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีเงินทุนไปต่อยอดธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้และชำระหนี้ต่อไป
เคไอวีจึงได้ลงทุนใน บริษัท เลนด์โนเวท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเอไอ และเทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย เปิดตัวสินเชื่อสต็อกไวเวอร์ ที่ให้วงเงินหมุนเวียนสำหรับการซื้อวัตถุดิบและสต็อกสินค้าแก่กลุ่มร้านค้ารายย่อย โดยสามารถชำระเงินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดหรือโอนไปยังร้านค้าส่งหรือผู้ผลิตที่ร่วมโครงการ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถสมัครขอสินเชื่อได้โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน ผ่านแอปพลิเคชันไวเวอร์ (Vyvr) แอปพลิเคชันเงินกู้เพื่อร้านค้ารายย่อย (ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก) และยืนยันตัวตนผ่าน K PLUS โดยไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมการเบิกใช้รายครั้ง
นางอธีตา ภูรีทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลนด์โนเวท จำกัด กล่าวเสริมว่า ภารกิจของบริษัท คือการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางด้านสินเชื่อโดยใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านเอไอและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านเงินทุนได้อย่างครอบคลุม การให้บริการสินเชื่อสต็อกไวเวอร์ครั้งนี้ จึงเป็นนวัตกรรมสินเชื่อที่จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือเพื่อต่อยอดธุรกิจได้สะดวก สมัครได้ด้วยตนเอง นอกจากการทำงานร่วมกับเคไอวีอย่างใกล้ชิดแล้ว บริษัทยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้า ขายวัตถุดิบ บริษัทกระจายสินค้าครบทุกช่องทางและหลากหลายประเภท เช่น เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น บริษัท เดอเบล จำกัด ในกลุ่มธุรกิจ TCP บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีเอ็มดีแอล จำกัด (มหาชน) ในเครือกลุ่มบริษัท ดัชมิลล์ การสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มรับเหมา และบริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น ในการช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยกลุ่มร้านค้าปลีกและผู้ค้าขายรายย่อยสามารถทำธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ด้วยการให้วงเงินเพื่อสต็อกสินค้าเพื่อจำหน่ายต่อได้ โดยบริษัทคาดว่าจะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน
สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครสินเชื่อสต็อกไวเวอร์ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจการค้ารายย่อย ไม่ว่าเป็นเจ้าของร้านค้าย่อยหรือธุรกิจขนาดเล็ก เจ้าของกิจการซื้อมาขายไป หรือซื้อสินค้าวัตถุดิบเพื่อประกอบธุรกิจ และมีสัญชาติไทย อายุระหว่าง 20 - 70 ปี สามารถยื่นสมัครขอสินเชื่อได้ โดยไม่ต้องใช้หลักประกันผ่านแอปพลิเคชันไวเวอร์ (Vyvr) พร้อมให้บริการสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ iOS ยืนยันตัวตนผ่าน K PLUS โดยมีอัตราดอกเบี้ย 25-33% ต่อปี คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หากไม่ใช้วงเงินก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ลูกค้าจึงสามารถมีวงเงินไว้ใช้หมุนเวียนในธุรกิจค้าขายได้อย่างต่อเนื่องทันท่วงที ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vyvr.co

Go To Lead


EXIM BANK เดินหน้า Export Co-pilot
นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นอีกปีที่การส่งออกกลับมาเติบโตในระดับสูงและเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 10% อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างพบว่า ภาคการส่งออกไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องความไม่สมดุลระหว่าง “จำนวนผู้ส่งออก” กับ “มูลค่าส่งออก” จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ไทยที่แม้มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 10% ของมูลค่าส่งออกรวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีอยู่ราว 20% กลับครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกกว่า 90% ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างสินเชื่อธุรกิจในระบบยังพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ครองสัดส่วนสินเชื่อเกือบ 70% ขณะที่ SMEs มีสัดส่วน 30% และมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากความกังวลความเสี่ยงของ SMEs ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสินเชื่อธุรกิจในระบบขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.3% เทียบกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเติบโตเฉลี่ย 2.1% สำหรับแนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2569 EXIM BANK คาดการณ์ว่า จะขยายตัวที่ราว 0-2% จากแรงกดดันด้านสงครามการค้า ข้อพิพาทชายแดน ความผันผวนของค่าเงิน และฐานที่สูงจากการเร่งส่งออก (Front-loading) ในปี 2568
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มุ่งมั่นที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัว แข่งขันได้ และมีรากฐานที่มั่นคงในระยะยาว ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. กระตุ้นการส่งออก ช่วยให้ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SMEs ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ผ่านการจับคู่ธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ด้วยเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีสินเชื่อ “EXIM Export Booster” เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการให้สินเชื่อพร้อมประกันการส่งออก “EXIM Safe Trade Credit” เพื่อบริหารความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ 2. แก้ไขหนี้ ผ่านมาตรการแก้หนี้-ดูแลหนี้ที่มีปัญหาแต่มีศักยภาพในการฟื้นฟูกิจการ และการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นฟูกิจการและปิดหนี้ได้เร็วขึ้น 3. เพิ่มสภาพคล่อง ด้วย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3” ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถานประกอบการรักษาการจ้างงาน รวมถึงมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น อุทกภัยภาคใต้ ข้อพิพาทชายแดน 4. ลงทุนเพื่ออนาคต โดยสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน อาทิ Sustainability-Linked Loan และสินเชื่อ Green X Transformation เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงยกระดับการผลิตสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
นายชลัช กล่าวอีกว่า EXIM BANK มีการจัดทีมเฉพาะกิจเพื่อขยายบทบาทการสนับสนุนภาคธุุรกิจและการส่งออกไทย รวมถึงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในภาคใต้ ตลอดจนเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตต่าง ๆ ที่จะตามมา เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot ที่พร้อมยืนเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่นำพาผู้ประกอบการไทยเดินทางไปปักธงในตลาดใหม่ได้จริง มียอดส่งออกเพิ่มขึ้น เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่อุปทานให้เติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ด้วยเครื่องมือทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงที่พร้อมในทุกสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเป็น Top of Mind หรือหนึ่งในใจของผู้ส่งออกไทย “EXIM BANK พร้อมเดินหน้าร่วมกับภาครัฐและผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot เคียงข้างผู้ประกอบการไทยรุกตลาดโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างรอบด้าน โดยมุ่งช่วยลดต้นทุนธุรกิจในปัจจุบัน ขยายตลาดสู่อนาคต และวางรากฐานสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตที่ยั่งยืน” นายชลัช กล่าว

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com