Finance/share
Hot News: EXIM BANK 'ชี้' ส่งออกไทยปี 68 โต 3%
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
EXIM BANK 'ชี้'
ส่งออกไทยปี 68 โต 3%
EXIM BANK ชี้ เศรษฐกิจและส่งออกไทยปี 2568 โต 3% 'เผย'ตลาดมีศักยภาพ ตลาดเกิดใหม่ อินเดีย CLMVและตะวันออกกลาง 'เร่ง'พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันเวทีโลกอย่างยั่งยืน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% (เท่ากับปี 2567) และการค้าโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.4% (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8%) ตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูงถึง 6.5%, 5.3%, 4.5% และ 3.8% ตามลำดับ
ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ปี 2568 EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง 2. สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์
3. สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ยังได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้
ดร.รักษ์ กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เป็น 40% ภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ขณะเดียวกัน EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจส่งออกและการลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำพาธุรกิจไทยทุกขนาดเข้าสู่ Green Export Supply Chain และมุ่งสู่เป้าหมายธนาคารด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2570 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 โดยสอดคล้องกับความต้องการของโลกในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งประเมินว่าสูงถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ตัวเลข Climate Finance ปี 2565 มีอยู่เพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังขาดเม็ดเงินอีกมูลค่ามหาศาลในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
การดำเนินบทบาท Green Development Bank ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท
“ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ที่ทำงานพร้อมกันทั้งจากอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่โอกาสของธุรกิจไทยยังมีอยู่อีกมากในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการตอบโจทย์เทรนด์ของตลาดโลกได้ EXIM BANK จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออก ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยเสริมหรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้นในเวทีโลก นำพาธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลกปัจจุบัน” ดร.รักษ์ กล่าว

Go To Lead


ทีทีบี 'ปรับ'กลยุทธ์วางแผนธุรกิจรับความท้าทายปี 2568
นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ทีทีบีได้จัดงานสัมมนา ttb I Executive Morning Briefing ภายใต้หัวข้อ“Economic Outlook and Global Market Movement 2025” ให้แก่ลูกค้าธุรกิจ เพื่ออัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ความท้าทายสำคัญและแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต รวมถึงวิธีการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับลูกค้าธุรกิจในการวางแผนธุรกิจทั้งในปีนี้และในปี 2568 โดยทีทีบีพร้อมเป็นพันธมิตรที่ช่วยผลักดันให้ลูกค้าธุรกิจ เตรียมพร้อมรับมือและปรับกลยุทธ์เชิงรุกในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในสมรภูมิการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ดร.อานันท์ชนก สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2567 อยู่ที่ 2.9% และในปี 2568 จะเติบโตอยู่ที่ 3.3% โดยเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและจีนชะลอตัวลง ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2568 คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การลดดอกเบี้ยของ FED ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่กลับมาเป็นบวกมากขึ้น รายรับจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผลที่จะเกิดจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ราคาน้ำมันดิบ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ ที่อาจส่งผลต่อค่าเงินบาทที่ผันผวนในระยะสั้น ซึ่งต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังการแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังอยู่ในระดับต่ำ คาดการณ์ว่า GDP ในปี 2567 จะอยู่ที่ 2.3-2.8% และแนวโน้ม GDP ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.5-3.5% โดยการขับเคลื่อนมาจาก 4 ปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว 2) การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ 3) การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 4) การกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการส่งออกตามการฟื้นตัวของการค้าโลก รวมถึงอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยจากอันดับ 25 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มอาเซียน
อย่างไรก็ดี การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการกีดกันทางการค้าและการลงทุน ภายหลัง Trade War สหรัฐฯ มีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจาก ASEAN และไทยมากขึ้น ขณะที่ไทยนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงขึ้นต่อเนื่อง การชะลอตัวของเศรษฐกิจการค้าโลกภายใต้ความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีของโลก และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ด้านนายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดผลกระทบทางการค้าและการลงทุนอย่างไรบ้าง ซึ่งลูกค้าธุรกิจต้องมีการวางแผนธุรกิจในระยะที่สั้นลง แต่ให้ความสำคัญกับการวางแผนโครงการมากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในจุดที่ต่ำที่สุดได้ผ่านไปแล้ว แนวโน้มทิศทางเงินเฟ้อโลกจะดีขึ้น แต่การค้าระหว่างประเทศอาจไม่ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประเมินเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาขยายตัวได้แต่เป็นอัตราที่ชะลอตัวลง ขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นยังคงทรงตัว สำหรับตลาดที่เติบโตดีจะเป็นกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย กลุ่มตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย สำหรับจีนแม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แต่เศรษฐกิจจีนคาดการณ์ว่าจะเติบโตไม่เกิน 5% ซึ่งไทยต้องจับตามอง เนื่องจากสินค้าจีนที่ถูกมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ จะไหลเข้ามาในตลาดอาเซียนโดยเฉพาะไทยมากขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยยังคงอยู่ในช่วงขาลงแตะที่ระดับ 1.75% - 2.00% ต่อปี ขณะที่ทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจไทย หนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งเกิดจากรายได้เติบโตไม่ทันรายจ่าย ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นความหวัง ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเซียน ยุโรป อินเดีย กลับเข้ามาในประเทศสูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว ในขณะที่จีนกลับเข้ามาเพียง 62% เท่านั้น ส่วนภาคการส่งออกของไทยคาดว่าจะเติบโตดีขึ้น ซึ่งไทยมีการส่งออกได้ดี โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มซาอุดิอาระเบีย เม็กซิโก ออสเตรเลีย
นางสาวบุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ลูกค้าธุรกิจที่ทำการค้าต่างประเทศต้องเผชิญกับความผันผวนของค่าเงิน โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีความผันผวนเฉลี่ย 10-12% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงผันผวนสูงอย่างต่อเนื่องด้วยปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ จึงแนะนำลูกค้าธุรกิจบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือกับความผันผวนนี้ ด้วย 4 เครื่องมือจาก ทีทีบี ได้แก่ 1) การจัดการด้วยสกุลเงินท้องถิ่น โดยทีทีบี มีบริการ Local Currency Solution เพื่อช่วยลูกค้าธุรกิจในการบริหารจัดการต้นทุนจากความผันผวนที่เกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยสกุลเงินท้องถิ่น 11 สกุลเงิน และในอนาคตจะเพิ่มอีก 5 สกุลเงิน ซึ่งครอบคลุมเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย 2) การจัดการด้วยเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย ผสมผสานระหว่าง FX Spot, FX Forward รวมถึง การจัดการด้วย FX Option เพื่อซื้อ Protection ปิดความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งค่า Premium สำหรับ 3 เดือน และ 6 เดือนอยู่ที่ ไม่เกิน 3% ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับความผันผวนของดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันที่ 10-12% 3) การจัดการผ่านการลงทุน ใน FX Linked Note หรือหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน 4) การจัดการด้วยบัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงิน ครบ จบที่เดียว ttb Multi Currency Account (MCA) บัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงินที่ดีที่สุดเพื่อธุรกิจนำเข้าและส่งออก ด้วยการใช้บัญชีเดียว สามารถใช้ซื้อ ขาย รับ จ่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ รับดอกเบี้ยเงินฝากต่างประเทศทันทีเมื่อมีเงินโอนเข้า แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศไว้ล่วงหน้า

Go To Lead


Krungthai COMPASS ชี้แหล่งท่องเที่ยวสไตล์
Man-made Destination มาแรง
ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 199.5 ล้านคน คิดเป็น 121% ของระดับเดิมในช่วงก่อนโควิด-19 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 26.1 ล้านคน คิดเป็นราว 88% ของตัวเลขช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งถือว่ายังฟื้นตัวช้ากว่าหลายภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่เติบโตก้าวกระโดด จากปรากฏการณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศกาตาร์ที่เติบโตสูง ส่วนหนึ่งจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2565 ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศของกาตาร์ขยายตัวกว่า 3 เท่าเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 สะท้อนความสำเร็จในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบ Man-made Destination หรือแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้น ประเทศไทย นักเดินทางที่สนใจท่องเที่ยวในรูปแบบ Man-made มีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มเปิดประเทศเมื่อปี 2565 โดยในปี 2567 คาดว่านักท่องเที่ยว Man-made ชาวไทยจะอยู่ที่ 35.7 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 17.9% ของนักท่องเที่ยวไทยทั้งหมด แบ่งเป็นกลุ่มการประชุมและนิทรรศการราว 22.2 ล้านคน กลุ่มท่องเที่ยวเชิงเทศกาลและผู้เยี่ยมเยือนสวนสนุกราว 4.3 และ 9.2 ล้านคน ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยว Man-made ชาวต่างชาติ มีประมาณ 2.4 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด นำโดยกลุ่มการประชุมและนิทรรศการ 1 ล้านคน กลุ่มท่องเที่ยวเชิงเทศกาลและผู้เยี่ยมเยือนสวนสนุกอยู่ที่ 4.6 แสนคนและ 1.0 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยว Man-made ชาวต่างชาติแบบ ที่ยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวไทย สะท้อนว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบ Man-made ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
ดร. ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การท่องเที่ยวแบบ Man-made เป็นรูปแบบการเดินทางที่มาแรง และสอดรับกับเทรนด์ความต้องการแสวงหาประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กิจกรรมประเพณี การท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิง ตลอดจนการประชุมและนิทรรศการระดับโลก (MICE) ดังนั้น การนำเสนอผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมแก่นักเดินทางชาวต่างชาติจะช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวได้ โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า การผลักดันตลาดการท่องเที่ยวแบบ Man-made จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นแตะ 3.1 ล้านคนในปี 2568 เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 เท่าจากปี 2565 แยกเป็นกลุ่ม MICE 1.4 ล้านคน กลุ่มผู้เยี่ยมเยือนสวนสนุก 1.2 ล้านคน และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมและเทศกาล 4.8 แสนคน ประเมินว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวแบบ Man-made ปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 58,300 บาทต่อคนต่อทริป สูงกว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เนื่องจากมีจำนวนวันพักนานและมีรายจ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ โดยคาดว่าสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศถึง 1.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.9% ของจีดีพี
นายกฤตตฤณ เหล่าฤทธิ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า จากกรณีศึกษาในต่างประเทศ พบว่า การลงทุนเพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว Man-made Destination สามารถสร้างรายได้ในอนาคตที่คุ้มค่า เช่น โครงการพัฒนาเซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ ลงทุนประมาณ 2.1 แสนล้านบาท สามารถสร้างรายได้สูงถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือใช้เวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี ขณะที่การจัดแข่งขันฟุตบอลโลก Qatar FIFA World Cup 2022 มีรายจ่ายลงทุน 4.9 แสนบาท แต่สามารถสร้างรายได้ราว 6.8 หมื่นล้านบาทในช่วงจัดงานแข่งขัน (เช่น ค่าถ่ายทอดสด) และ 5.1 หมื่นล้านบาทในปีหลังจัดงาน ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามายังกาตาร์เพิ่มขึ้น ประเมินว่าจะใช้เวลาคืนทุนประมาณ 10 ปี นอกจากประโยชน์ด้านรายได้แล้ว การลงทุน Man-made Destination ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนกระตุ้นการจ้างงาน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระยะยาว มองว่า การลงทุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง Man-made ของไทย มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมให้ประเทศได้อีกมาก โดยเฉพาะการบุกเบิกสถานที่ท่องเที่ยวแบบครบวงจรในลักษณะ Entertainment complex หรือการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวไปสู่ศูนย์รวมความบันเทิงสำหรับครอบครัว ตลอดจนการจัดงานเมกะอีเวนท์ระดับโลก ดังนั้น การทำความเข้าใจนักท่องเที่ยว Man-made แต่ละประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ซึ่งมีความกระหายใคร่รู้ต่อแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่หรืองานเทศกาลในพื้นที่ต่างวัฒนธรรม และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไปในอนาคต

Go To Lead


กสิกรไทยประกาศผล AFTERKLASS Business Camp ปีที่ 5
นายรวี อ่างทอง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบูรณาการความยั่งยืนองค์การ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย มุ่งมั่นส่งเสริมการยกระดับการเรียนรู้ แก่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ผ่านการดำเนินโครงการ AFTERKLASS อย่างต่อเนื่อง และได้ร่วมกับมูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา จัดกิจกรรม AFTERKLASS Business Camp ปีที่ 5 ภายใต้ธีม Young BIZ Accelerator Camp แคมป์อัปสกิลบิ้วท์นักธุรกิจตัวจริงรุ่นใหม่ เรียนลึก ฝึกทำจริง ปั้นธุรกิจได้ เพื่อให้เยาวชนมีความรู้ ทักษะ และมุมมองแบบผู้ประกอบการติดตัวพร้อมนำไปต่อยอดในโลกธุรกิจได้ในอนาคต เริ่มโครงการตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา ซึ่งไฮไลต์ ในปีนี้ คือ การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่น้อง ๆ 6 ทีมสุดท้าย ในการพัฒนาแผนธุรกิจและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างยอดขายแรก (1st Dollar Stage) ผ่านการเรียนรู้หลักการบริหารและพัฒนาแผนธุรกิจ ซึ่งทุกทีมสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์สู่ตลาด และสร้างยอดขายแรกได้สำเร็จ พร้อมเรียนรู้หลักการพัฒนาศักยภาพสร้างธุรกิจที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ล่าสุด ในกิจกรรม Acceleration Camp with Demo Day ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 ธ.ค. 67 ที่ผ่านมา น้อง ๆ ทั้ง 6 ทีมได้ นำเสนอผลการดำเนินธุรกิจต่อคณะกรรมการบนเวทีสุดท้าย เพื่อให้คณะกรรมการเห็นภาพรวมธุรกิจ โดยเน้นที่จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลประกอบการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คณะกรรมการเห็นศักยภาพในการสร้างยอดขายและผลกำไรที่มั่นคงของธุรกิจ ผลการแข่งขัน ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Blockfruit โดยนำเสนอ KeepFresh เครื่องปั๊มเจลชะลอการสุก คงความสดให้ผลไม้ จากสารสกัดธรรมชาติ เพื่อครัวเรือนถึงธุรกิจผลไม้สด รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Sang Khao นำเสนอรองเท้า enev รองเท้าแตะรัดส้นเพื่อสุขภาพที่ใช้ซังข้าวมาเป็นวัสดุส่วนหนึ่งในการผลิต เพิ่มมูลค่าเกษตรกรพร้อมดีไซน์ใช้งานจริง และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Umbrella Sink นำเสนอเทวา (dheva) ยาดมในดีไซน์เครื่องประดับที่สะท้อนกลิ่นเอกลักษณ์ของดอกไม้ไทยจากถิ่นกำเนิดเฉพาะ ด้วยวัสดุและดีไซน์คุณภาพ
นายรวีกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ AFTERKLASS ภายใต้ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเปิดพื้นที่แสดงศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่ โดยกิจกรรมในปีนี้เป็นการเสริมสร้างโอกาสให้เยาวชนได้ลงมือทำจริง เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และพัฒนามุมมองแบบผู้ประกอบการที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในอนาคต เพื่อสร้างโอกาสและความพร้อมแก่เยาวชนที่จะประยุกต์ใช้องค์ความรู้เพื่อการบริหารจัดการการเงินที่มีประสิทธิภาพ ทั้งระดับตนเองและครอบครัวและเติบโตอย่างยั่งยืน สามารถติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่ www.afterklass.com หรือ เฟซบุ๊ก AFTERKLASS

Go To Lead


ธ.ก.ส. ชวนน้องๆ ออมเงิน รับกระปุก“คุณมั่งมี” สุดน่ารัก
ผ่านแคมเปญเงินฝากวันเด็กแห่งชาติ “Kids D 2568”
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัวกระปุกออมทรัพย์ ธ.ก.ส. “คุณมั่งมี” น้องแมวสุดคิ้วท์ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งขาติ 2568 เพื่อสร้างเสริมนิสัยการออมเงินในเด็กและเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไป ผ่านการฝากเงินในแคมเปญเงินฝากวันเด็กแห่งชาติ “Kids D 2568” เพียงเปิดบัญชีใหม่ หรือฝากเงินเพิ่มเข้าบัญชีเงินฝากเดิม ผ่านเคาเตอร์ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศจำนวน 2,000 บาทขึ้นไป หรือเลือกฝากเงินครั้งละ 1,000 บาทขึ้นไป จำนวน 2 ครั้งที่สาขาเดียวกัน ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2567 – 17 มกราคม 2568 และคงยอดเงินฝากตั้งแต่วันที่รับฝากจนถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 รับเลยกระปุกออมทรัพย์ ธ.ก.ส. “คุณมั่งมี” ที่สาขาที่ลูกค้าฝากเงินไว้ ระหว่างวันที่ 9-17 มกราคม 2568 จำกัดลูกค้า 1 รายต่อกระปุก 1 ชิ้น ฝากก่อนได้ก่อน ของมีจำนวนจำกัด!
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือ Call Center 02 555 0555

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com