|
ttb analytics 'ชี้' อินเดีย ส่งออกNo. 5
ttb analytics 'ชี้' อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก โดยมีอัตราคาดการณ์เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 6.1% ต่อปีในช่วงปี 2566-2571
นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ttb analytics เปิดเผยว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก โดยมีอัตราคาดการณ์เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 6.1% ต่อปีในช่วงปี 2566-2571 ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากโครงสร้างประชากรในวัยแรงงานที่อยู่ในช่วงกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 180 ล้านคน ทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางในระดับสูง (Upper Middle-Income) ขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็น 51% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด ส่งผลให้อินเดียเป็นตลาดส่งออกที่น่าจับตา โดยเฉพาะในปี 2566 นี้ ตลาดอินเดียมีโอกาสขยับเป็นตลาดส่งออกอันดับ 5 ของไทยด้วยมูลค่าส่งออกถึง 4.2 แสนล้านบาท อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จากการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 5.9% ในปี 2566 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 สำหรับในระยะต่อไปบนศักยภาพของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะสามารถรักษาการเติบโตเฉลี่ยที่ 6.1% ในช่วงปี 2566-2571 หนุนด้วยการเติบโตของกำลังซื้อในประเทศในอัตราเร่ง ทำให้อินเดียเริ่มนำเข้าสินค้าหลายรายการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามกำลังซื้อ ส่งผลให้อินเดียขยับจากการเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 10 ของไทยในปี 2562 ด้วยมูลค่า 2.28 แสนล้านบาท และเร่งตัวขึ้นเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 7 ในปี 2565 ด้วยมูลค่า 3.64 แสนล้านบาท หรือเติบโต 34.2% จากปี 2564 สำหรับในปี 2566 เมื่อพิจารณาบนพื้นฐานของการเติบโตในอัตราเร่งของเศรษฐกิจ ทำให้อินเดียมีโอกาสขยับสถานะเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 5 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออก 4.2 แสนล้านบาท หนุนด้วยโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะวัยแรงงานที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อในประเทศในระยะยาว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 มิติดังนี้
1) มิติเชิงปริมาณ ประเทศอินเดียปัจจุบันพบว่ามีประชากรอยู่ในวัยแรงงานจำนวน 874.5 ล้านคน ซึ่งคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสูงถึง 1,054 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 178.6 ล้านคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดส่งออกหลักอันดับ 4-6 เช่น ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม พบโครงสร้างประชากรอยู่ในวัยแรงงานที่ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นที่ 2.0 ล้านคน 14.9 ล้านคน และ 4.9 ล้านคน ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับตลาดส่งออกลำดับ 3 ของไทย เช่น ประเทศญี่ปุ่น พบโครงสร้างประชากรอยู่ในกำลังแรงงานที่ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะลดลงถึง 6.0 ล้านคน ซึ่งในมิติการเพิ่มขึ้นของจำนวนแรงงานในจำนวนมหาศาลของอินเดียเป็นปัจจัยเร่งต่อกำลังซื้อในมิติของปริมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2) มิติเชิงคุณภาพ ผ่านการยกระดับสถานะทางรายได้ เนื่องจากในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อินเดียมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวสูงถึง 56% เป็นลำดับที่ 2 ของกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก สอดคล้องกับงานศึกษาของ Bain & Company ที่ประมาณการว่าในปี 2573 จะมีประชากรอินเดียที่มีรายได้ปานกลางในระดับสูงขึ้นไป จำนวนมากกว่า 500 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 51% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เร่งตัวขึ้นจากปี 2561 ที่มีสัดส่วนเพียง 24% ซึ่งผลการศึกษาไปในทิศทางเดียวกันกับงานศึกษาขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ชี้ว่าในปี 2573 ประชากรอินเดียจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางทั่วโลก ซึ่งในมิติการเปลี่ยนสถานะทางรายได้ เป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยให้เพิ่มในอัตราเร่ง
ดังนั้น ด้วยการเติบโตของตลาดส่งออกอินเดียในปี 2566 คาดว่าจะขยับสถานะเป็นตลาดส่งออกอันดับ 5 ของไทย และบนทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว ttb analytics ประเมินว่าภายในปี 2575 ประเทศอินเดียมีแนวโน้มขยับขึ้นเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 3 ของไทยแทนที่ญี่ปุ่น ด้วยแรงผลักดันจากกลุ่มสินค้าทั้งกลุ่มมูลค่าส่งออกสูงและสินค้าที่มีศักยภาพขยายตัวสูง ดังต่อไปนี้ กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูง เช่น กลุ่มน้ำมันพืช เม็ดพลาสติก และ เคมีภัณฑ์โดยในปี 2565 มีมูลค่าการส่งออกรวม 1.16 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.8% ของการส่งออกรวมไปอินเดีย ซึ่งแนวโน้มสินค้ามูลค่าส่งออกสูงเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตตามกำลังซื้อของประชากรที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากโครงสร้างรายได้ในปี 2561 พบว่า สัดส่วนครัวเรือนรายได้ปานกลางในระดับต่ำ (Lower Middle-Income) อยู่ที่ 57% และมีสัดส่วนครัวเรือนรายได้ต่ำ (Low-Income) อยู่ที่ 43% แต่มีการประมาณการว่าในปี 2573 สัดส่วนครัวเรือนรายได้ต่ำจะลดลงเหลือเพียง 15% ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้ตั้งแต่ปานกลางในระดับต่ำขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 85% กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพการขยายตัวสูง เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนสถานะไปสู่สังคมที่มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น โดยประมาณการว่าในปี 2573 จะมีสัดส่วนครัวเรือนรายได้ปานกลางในระดับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 51% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 2561 ที่มีสัดส่วนเพียง 24% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนที่มีกำลังซื้อสูงเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง และ อาหารกลุ่มพรีเมียม ในปี 2565 มีมูลค่าส่งออกไม่มากแต่มีอัตราการเติบโตสูง
สรุปว่าอินเดียเป็นตลาดส่งออกที่น่าสนใจและมีศักยภาพการขยายตัวสูงที่สุดตลาดหนึ่งในตลาดเศรษฐกิจใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมภาคการค้าของอินเดียไปยังตลาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน ส่งผลให้ไทยควรใช้ข้อได้เปรียบดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านข้อตกลงการค้าที่สำคัญ อาทิ ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-อินเดีย (AIFTA) และ ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) รวมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าเพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ และเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างการคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะท่าเรือฝั่งตะวันตกของไทยเพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าสำคัญของภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสการยกระดับเป็นคู่ค้าสำคัญของตลาดอินเดียที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
Go To Lead
|
ธ.ก.ส. ชวนใช้ A-Mobile Plus รับ Cashback 20 บาท
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดแคมเปญ ย้าย มาใช้ A-Mobile Plus ได้เงินคืน โดยเชิญชวนลูกค้าที่ใช้งานแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ย้ายมาสัมผัสประสบการณ์บริการทางการเงินที่สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นบนแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus เพียงดาวน์โหลดและลงทะเบียนเปิดใช้งานแอปพลิ เคชัน A-Mobile Plus และทำธุรกรรมในการถอนเงินไม่ใช้บัตร จ่ายบิล เติมเงิน หรือสแกนชำระค่าสินค้าและบริการ สะสมครบ 4 รายการ รับเลยเงินคืน 20 บาท/ราย/สิทธิ์ (จำกัด 100,000 สิทธิ์แรกตลอดแคมเปญ) ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2566
โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้า ภายใน 30 วัน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะยกเลิกการใช้ ธ.ก.ส. A-Mobile เดิม มาใช้ A-Mobile Plus เพียง แอปพลิเคชันเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
Go To Lead
|
EXIM BANK คว้าคะแนนเต็ม ด้านดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ 2 ปีซ้อน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท และทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ตั้งแต่ระดับคณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงาน เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์องค์กร วางแผนงานและแนวทางบริหารจัดการองค์กร โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนำพาองค์กรให้สามารถดำเนินภารกิจได้สำเร็จและมีผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศในด้านต่าง ๆ โดยในปี 2565 EXIM BANK ได้สร้างปาฏิหาริย์ (Miracle Maker) ในหลากหลายมิติ อาทิ ยอดคงค้างสินเชื่อ 168,331 ล้านบาท เติบโต 2 หลักต่อเนื่อง 2 ปีและสูงสุดตั้งแต่ธนาคารเปิดดำเนินงานในปี 2537 ปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกัน 169,338 ล้านบาท เติบโต 2 หลักต่อเนื่อง 2 ปีและสูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงาน ยอดคงค้างสินเชื่อสนับสนุนความยั่งยืนและจำนวนลูกค้าทั้งธนาคารเติบโต 2 หลักต่อเนื่อง 2 ปีและสูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงาน เป็นต้น
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย EXIM BANK ยังคงดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนและสร้างรากฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย ภายใต้บทบาท ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย ที่มุ่งสู่ความยั่งยืน ส่งเสริมการบุกตลาดการค้าการลงทุนที่มีศักยภาพ สนับสนุนธุรกิจไทยให้เติบโตในตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และ New Frontiers รวมทั้งยกระดับสินค้าและบริการของไทยให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยทุกระดับพร้อมที่จะเข้าสู่ Supply Chain การส่งออก การพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมสานพลังพันธมิตรทุกภาคส่วนเดินหน้าสร้างระบบนิเวศสีเขียว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการเสริมอาวุธให้ SMEs เป็นนักรบเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการสนับสนุนแบบครบวงจร เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล จนได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย อาทิ รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านลูกค้า (Thailand Quality Class Plus : Customer) ประจำปี 2565
EXIM BANK กล้าที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีบทบาทมากขึ้นต่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นในเป้าหมายที่จะตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เราจึงสร้างคนและทีมที่แข็งแกร่งที่จะทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทไปสู่เป้าหมายขององค์กรที่ปรับตัวและรับมือได้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานรากในชุมชนให้เชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ดร.รักษ์ กล่าว
Go To Lead
|
กรุงไทย-กลุ่ม สิงห์ เอสเตท ร่วมก้าวสู่ Net Zero
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Interest Rate Derivatives) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของตลาดทุนไทย ที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพให้กับ สิงห์ เอสเตท เพื่อการชดเชยคาร์บอนจากกิจกรรมการปล่อยคาร์บอนของบริษัท (Carbon Offset) หากบริษัทสามารถดำเนินงานตามเป้าหมาย ESG สำเร็จ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credit) ให้รองรับทั้งมาตรฐานไทย (T-VER) ซึ่งรับรองโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และมาตรฐานสากล Verified Carbon Standard ที่ออกโดยสมาคม Verra นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดประเภทคาร์บอนเครดิตที่ได้มาจากโครงการลดคาร์บอนที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solution) เช่น การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่า เป็นต้น เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของ กลุ่มสิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดด้านบริการทางการเงินที่ยั่งยืน (ESG Financial Solution) ที่ออกแบบและพัฒนาบริการตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าอย่างตรงจุด สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และแนวโน้มการทำธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ( SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) ในข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยธนาคารได้นำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ หากสิงห์ เอทเตท สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินงานได้ตามเป้าหมายด้าน ESG ธนาคารจะสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน
Go To Lead
|
กรุงศรี 'ผุด'บริการใหม่ ASEAN LINK
นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ (JPC/MNC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรี ครองความเป็นผู้นำในตลาดลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญระดับโลกทำให้กรุงศรีสามารถต่อยอดและได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติจากหลากหลายอุตสาหกรรมในการขยายธุรกิจสู่อาเซียนจนประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ การสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตเลนส์ในประเทศลาว การให้คำปรึกษาด้านข้อมูลตลาดและข้อบังคับทางกฎหมายในการตั้งสำนักงานของบริษัทวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนาม การช่วยสำรวจและแนะนำพื้นที่ในการตั้งโรงงานแปรรูปอาหารในประเทศเวียดนาม รวมทั้งให้คำปรึกษาในการตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยของบริษัทด้านยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ปีนี้ เราจึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่ออาเซียน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของกรุงศรี โดยได้ยกระดับบริการที่ปรึกษาทางธุรกิจเพื่อเชื่อมต่อทั้งภูมิภาคอาเซียนด้วยบริการใหม่ ASEAN LINK ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการทำธุรกิจ เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราเติบโตใน 9 ประเทศทั่วทั้งอาเซียน และต่อยอดได้ในอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลกผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ MUFG
สำหรับบริการ Krungsri ASEAN LINK เป็นศูนย์กลางบริการด้านการทำธุรกิจในระดับภูมิภาคอาเซียนผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกรุงศรี และ MUFG มีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่แตกต่างและหลากหลาย พร้อมนำเสนอ โซลูชันทางการเงินให้กับลูกค้าแบบ Tailor-made โดยเริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิเคราะห์ และสนับสนุนข้อมูลด้านการตลาด รวมถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจเพื่อการควบรวมกิจการและการขยายการลงทุนในต่างประเทศ การพัฒนาและจัดตั้งสำนักงานธุรกิจในระดับภูมิภาค การให้บริการที่ปรึกษาทางกฎหมายและภาษีอากร และการจับคู่ทางธุรกิจ เป็นต้น กรุงศรียังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการต่อยอดการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน และร่วมเป็นส่วนช่วยผลักดันสตาร์ทอัพสู่เวทีอาเซียนผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนี้
การสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินการตามกรอบความยั่งยืน (ESG) ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านเครือข่ายพันธมิตร พร้อมต่อยอดความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ Zeroboard Inc. สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้านคลาวด์เทคโนโลยีเกี่ยวกับการคำนวณและการแสดงผลลัพธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจและ Supply chain เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจ สีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม
การสร้างเครือข่ายและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ Techo Startup Center หน่วยงานภายใต้รัฐบาลกัมพูชาซึ่งส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างโอกาสทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับอาเซียน โดยในปีนี้กรุงศรีได้ร่วมจัดงาน Japan-ASEAN Start-up Business Matching Fair 2023 ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น (METI) depa และ Techo ซึ่งเป็นงานจับคู่ธุรกิจสำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากกว่า 60 บริษัท จาก 9 ประเทศ และจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมถึง 160 บริษัท จาก 6 ประเทศ นับเป็นการผนึกกำลังภายใต้เครือข่าย MUFG ในการสร้างโอกาสครั้งสำคัญให้กับสตาร์ทอัพ เราเชื่อมั่นว่าด้วยความเชี่ยวชาญของกรุงศรี และเครือข่ายที่แข็งเกร่งของ MUFG จะช่วยขยายโอกาสและขับเคลื่อนการเติบโตของทั้งธุรกิจญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ รวมทั้งช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน นายโอคุโบะ กล่าว
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|