Greennist
Hot News: สวนทุเรียนคุณภาพ ‘ทุเรียนน้ำแร่พบพระ’ จ.ตาก รองรับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English

จากฟาร์มเล็กสู่ความมั่นคงใหญ่ บทพิสูจน์คอนแทรคฟาร์มมิ่ง “ชนิสราฟาร์ม”
0
เรื่องราวของ ชนิสราฟาร์ม ฟาร์มหมูที่เติบโตจากความตั้งใจของ “ชนิสรา ละลา” และ “วรเชษฐ์ ไชยแว่นตา” คู่สามีภรรยาจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ขายข้าวสารและรับจ้างทั่วไป ก่อนจะเลือกเดินบนเส้นทางใหม่ในระบบ “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” (Contract Farming) เส้นทางที่เปลี่ยนทั้งอาชีพและชีวิต แม้ไม่เคยเลี้ยงหมูมาก่อน แต่ทั้งคู่เปิดใจเรียนรู้ เพราะเห็นความมั่นคงจากการมีบริษัทที่เชี่ยวชาญเป็นพี่เลี้ยง ก่อนเริ่มฟาร์มแรกในปี 2559 หลังศึกษารายละเอียดสัญญาอย่างรอบคอบ และเห็นตัวอย่างความสำเร็จของเพื่อนเกษตรกรรอบข้าง
“เชื่อมั่นในระบบของซีพีเอฟที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ และยังมีทีมสัตวแพทย์ สัตวบาล และเทคโนโลยีสนับสนุน ทำให้เลี้ยงหมูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีรายได้ต่อเนื่องทุกรุ่น” ชนิสรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากโรงเรือนเดียวที่เลี้ยงหมู 650 ตัว ฟาร์มของพวกเขาค่อยๆ ขยายขึ้น ด้วยความมั่นใจและระมัดระวัง ในปี 2564 ทั้งสองตัดสินใจสร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 4 หลัง จากนั้นก็ซื้อฟาร์มต่อจากเกษตรกรที่อยู่ติดกันอีก 2 หลัง ในปี 2566 และเมื่อเห็นว่าที่ดินข้างๆ ยังว่างอยู่ และรายได้จากการเลี้ยงหมูมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง พวกเขาจึงตกลงซื้อที่ดินเพิ่มอีก 23 ไร่ สร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 4 หลัง เริ่มเข้าเลี้ยงเมื่อต้นปี 2568
จากคนที่ไม่เคยเลี้ยงหมู ตอนนี้ หจก.ชนิสราฟาร์ม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีโรงเรือนเลี้ยงขุน 11 หลัง ความจุรวม 9,150 ตัว บนพื้นที่กว่า 55 ไร่ กลายเป็นหนึ่งในฟาร์มหมูที่มีระบบการจัดการที่ทันสมัย ใช้ระบบอัตโนมัติ และกำลังก้าวสู่ Smart Farm โดยมีพนักงานดูแลเพียง 12 คน “การเลี้ยงหมูคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ไม่ใช่อาชีพเสี่ยง เพราะมีระบบที่มั่นคงและชัดเจน เราแค่ต้องตั้งใจ ใส่ใจ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” วรเชษฐ์เล่าถึงเคล็ดลับความสำเร็จ
เทคโนโลยีและความรู้ในฟาร์มถูกอัปเดตอยู่ตลอด ทั้งอุปกรณ์เลี้ยง การจัดการฟาร์ม และระบบ Smart Farm เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายได้ก็เติบโตตามไปด้วย แม้มีฟาร์มใหญ่ระดับหมื่นตัว ชนิสรายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ยังคงขายของแม่และเด็ก และกำลังวางรากฐานให้ลูกๆ ทั้งสองคนเข้ามาเรียนรู้การเลี้ยงหมู ให้เรียนรู้มรดกอาชีพที่พ่อแม่สร้างให้ เพราะเชื่อว่า “อาชีพที่มั่นคงคืออาชีพที่รู้จริงและลงมือทำเอง”
สำหรับชนิสราและวรเชษฐ์ ความมั่นคงคือการมีอาชีพที่สร้างรายได้แน่นอน พอเลี้ยงครอบครัว พอขยายกิจการ และยังพอสำหรับแบ่งปันให้กับชุมชนที่เขาอยู่ อย่างเช่นการปัน “น้ำปุ๋ย” ให้เพื่อนเกษตรกรในชุมชนใช้ในนาข้าว เป็นการทำที่เริ่มจากใจ เพื่อให้ฟาร์มและชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน วันนี้ “ชนิสราฟาร์ม” ไม่ได้เป็นเพียงฟาร์มหมูในระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง แต่คือภาพสะท้อนของการพัฒนาอย่างมีวินัยและความร่วมมือระหว่างคนกับองค์กร ที่ช่วยกันสร้างความมั่นคงให้ชีวิตและอาชีพอย่างยั่งยืน เพราะเมื่อทุกฟาร์มมั่นคง ระบบอาหารของประเทศก็จะขับเคลื่อนสู่ความมั่นคงไปด้วย

Go To Lead


สวนทุเรียนคุณภาพ ‘ทุเรียนน้ำแร่พบพระ’
จ.ตาก รองรับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงาน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จังหวัดตากมีภูมิประเทศโดดเด่นด้วยธรรมชาติและความเหมาะสมต่อการทำเกษตร โดยเฉพาะ “ทุเรียนพบพระ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ทุเรียนน้ำแร่พบพระ” ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดตาก พบปลูกในพื้นที่อำเภอพบพระ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนภูเขาฝั่งตะวันตกของไทยติดพรมแดนเมียนมาร์สำหรับจุดเด่นของทุเรียนน้ำแร่พบพระ คือผลผลิตจะออกหลังฤดูกาลทุเรียนของจังหวัดอื่น ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออก ทำให้ในช่วงปลายฤดูทุเรียนของไทยยังมีทุเรียนพบพระออกมาป้อนตลาดให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนพบพระมากขึ้น เนื่องจากกระแสของความต้องการบริโภคทั้งตลาดในประเทศและตลาดจีน ส่งผลให้ราคาทุเรียนสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 - 6 ปี ที่ผ่านมา จูงใจให้เกษตรกรบางส่วนหันมาปลูกและขยายเนื้อที่ปลูกเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ทุเรียนน้ำแร่พบพระจะปลูกบนพื้นที่ภูเขาและลาดเชิงเขาทำให้การจัดการสวนตลอดอายุต้นทุเรียนยากกว่าพื้นที่ราบ หากเกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศ หรือการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตทันที ซึ่งจากการลงพื้นที่ของ สศท.2 ยังพบว่า สวนทุเรียนพบพระคุณภาพดีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแปลงต้นแบบ คือ สวนทุเรียนวรรณา ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นสวนทุเรียนที่ได้คุณภาพ มีมาตรฐาน GAP อีกทั้งยังเป็นสวนเกษตรเชิงท่องเที่ยว โดยมีนางวรรณา รุจะศิริ เป็นเจ้าของสวน ได้มีการปลูกมายาวนานกว่า 20 ปี เนื้อที่ปลูกประมาณ 10 ไร่ หรือประมาณ 300 ต้น ซึ่งจะเน้นการผลิตทุเรียนปลอดภัยโดยใช้ปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเน้นจำหน่ายให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางธรรมชาติของจังหวัดตากที่อยากลิ้มลองรสชาติทุเรียนน้ำแร่พบพระจังหวัดตาก
ผู้อำนวยการ สศท.2 กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทุเรียนน้ำแร่พบพระ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมบูรณาการพัฒนาการผลิตและจัดการสวนทุเรียนคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยเฉพาะช่วงกลาง – ปลายฤดูฝน ที่ผลผลิตออกมาก โดยมีแนวทางสำคัญ คือ เร่งพัฒนาเกษตรกรให้ผลิตทุเรียนคุณภาพ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้หรือพาไปศึกษา ดูงานในพื้นที่ต้นแบบ การเสริมทักษะเจ้าหน้าที่ภาครัฐด้านการผลิต การจัดการสวน การป้องกันโรคแมลง และการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างต้นแบบฟาร์มทุเรียนอัจฉริยะเพื่อขยายผลสู่สวนอื่น การประชาสัมพันธ์การผลิตทุเรียนคุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกยกเลิกคำสั่งซื้อ การผลักดันทุเรียนพบพระเป็นสินค้า GI รวมถึงรักษามาตรฐานผลผลิตเพื่อสร้างโอกาสซื้อซ้ำ และส่งเสริมเครือข่ายการผลิตและการตลาดทุเรียน เชื่อมโยงภายในประเทศ เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดส่งออกในอนาคต
สำหรับสถานการณ์การผลิตทุเรียนน้ำแร่พบพระ จังหวัดตาก ปี 2568 (ข้อมูล ณ 27 ต.ค. 68) คาดว่า มีพื้นที่ปลูกทุเรียนยืนต้น 4,678 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 72.97 ของพื้นที่ปลูกทั้งจังหวัด (6,411 ไร่) และ มีพื้นที่ให้ผลแล้ว 2,710 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 71.88 ของพื้นที่ให้ผลทั้งจังหวัด (3,770 ไร่) ผลผลิตรวม 2,141 ตัน (ผลผลิตออก มิ.ย. - ต.ค.) คิดเป็น ร้อยละ 69.60 ของผลผลิตรวมทั้งจังหวัด (3,076 ตัน) เกษตรกรอำเภอพบพระที่ขึ้นทะเบียนการปลูก 177 ราย (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ จังหวัดตาก) เกษตรกรนิยมปลูกพันธุ์หมอนทอง จะปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม และเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 5 – 7 ปี โดยราคาเฉลี่ย ปี 2568 แบ่งตามเกรด คือ เกรด A ราคา 90 - 100 บาท/กิโลกรัม เกรด B ราคา 40 - 60 บาท/กิโลกรัม และตกเกรด เช่น หล่น แก่จัด จำหน่ายราคา 10 - 20 บาท/กิโลกรัม ซึ่งผลผลิตกลุ่มตกเกรดจะมีเนื้อนิ่มสุกเละ และกลิ่นแรง แต่จะเป็นที่นิยมของชาวเมียนมาร์ สำหรับช่องทางการจำหน่าย พบว่า ผลผลิตร้อยละ 70 จำหน่ายให้แก่ลูกค้าประจำที่เป็นพ่อค้าจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ร้อยละ 20 จำหน่ายให้แก่ชาวเมียนมาร์ที่เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เกษตรกรตั้งร้านจำหน่ายผลผลิตริมทาง นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเกษตรกรบางส่วนที่นำผลผลิตมาแปรรูปเป็นทุเรียนกวน จำหน่ายในราคา 350 บาท/กิโลกรัม และทุเรียนทอด ราคา 600 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ ท่านใดสนใจข้การทำการเกษตร โดยเฉพาะอมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สศท.2 โทร 0 5532 2650 และ 0 5532 2658 หรืออีเมล zone2@oae.go.th

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com