|

|
|
สศท.7 ชู แปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) จ.สุพรรณบุรี
ต้นแบบนาข้าวรักษ์โลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งผลักดันให้ภาคเกษตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 2570 และกำหนดแนวทางการพัฒนาการสนับสนุน การผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC) พ.ศ. 2564 2573 เพื่อลดการเกิดก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้าเกษตร
แปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี นับเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จ และมีความโดดเด่นในการผลิตข้าวแบบยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้ในการผลิตข้าว ทำการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์เรียนรู้ลดโลกร้อนแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย โดยกลุ่มมีเป้าหมายสำคัญในการผลิตข้าวคุณภาพควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่ง สศท.7 ลงพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูลสำหรับจัดทำงานวิจัย เรื่อง การศึกษาต้นทุนส่วนเพิ่มการลดก๊าซเรือนกระจก สินค้าพืชเศรษฐกิจ (ข้าวนาปี) โดยสัมภาษณ์คุณสวณีย์ โพธ์รัง ผู้จัดการกลุ่มฯ ให้ข้อมูลว่า จุดเริ่มต้นสำคัญเกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิก ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน (ศจช.) เมื่อปี พ.ศ. 2554 เพื่อแก้ปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่ระบาดรุนแรง โดยใช้สารชีวภัณฑ์ (เชื้อราบิวเวอเรีย) ในการควบคุมศัตรูพืชแทนสารเคมีได้ผลสำเร็จ ต่อมาในปี 2558 ได้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร และในปี 2559 จึงได้รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มนาแปลงใหญ่ ปัจจุบันมีสมาชิก 132 ราย และครอบคลุมพื้นที่การผลิตข้าวกว่า 6,000 ไร่ เพาะปลูกข้าวพันธุ์ ปทุมธานี1 กข95 กข41 กข85 และ กข79 โดยกลุ่มฯ มีการใช้เทคโนโลยี (IoT) เซ็นเซอร์วัดค่าความชื้น อุณหภูมิ สารอาหารในดิน และใช้ในการเฝ้าระวังโรคและแมลงศัตรูพืชเพื่อให้สามารถจัดการได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งการใช้แผนที่ดาวเทียมข้อมูลสถิติการเกษตรเข้ามาช่วยบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว และที่เป็นจุดเด่นคือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี "4ป + 1IPM" ได้แก่ ป1 การปรับระดับพื้นที่ด้วยเลเซอร์ , ป2 การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง , ป3 การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และ ป4 การแปรสภาพฟางและไถกลบตอซังข้าว และสุดท้ายคือ 1IPM การจัดการศัตรูพืชด้วยวิธีผสมผสาน
ปัจจุบันกลุ่มมีการประยุกต์ใช้ทั้งองค์ความรู้ และการนำเทคโนโลยี 4ป + 1IPM มาใช้ในการทำนา และมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ส่งผลให้กลุ่มแปลงใหญ่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมเฉลี่ย 507.88 kgCO2e/ไร่ (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อพื้นที่หนึ่งไร่) ในขณะที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวแบบทั่วไปในพื้นที่ปล่อยก๊าซรวม 913.79 kgCO2e/ไร่ มีความแตกต่างกันถึง 57.10% โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่พบมากที่สุดในกระบวนการผลิตข้าว พบว่ารูปแบบการทำนาของกลุ่มฯ มีการปล่อยก๊าซมีเทนที่ 428.61 kgCO2e/ไร่ ส่วนการปลูกข้าวแบบทั่วไปในพื้นที่มีการปล่อยก๊าซมีเทน 692.12 kgCO2e/ไร่ มีความแตกต่างกันถึง 47.03% เป็นผลมาจากการที่กลุ่มฯ มีการทำนาแบบ "เปียกสลับแห้ง" ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการขังน้ำในนาข้าว และ การปรับระดับดิน ด้วยระบบเลเซอร์ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมระดับน้ำในแปลงนาได้ง่ายขึ้น ช่วยประหยัดน้ำ อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดก๊าซมีเทนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังพบว่า การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินของกลุ่มฯ ส่งผลให้ปริมาณการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) อยู่ที่ 32.99 kgCO2e/ไร่ เปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยในการทำนาแบบทั่วไปในพื้นที่ซึ่งมีการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์อยู่ที่ 53.83 kgCO2e/ไร่ ต่างกันถึง 47.99% ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของการใช้ "ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน" โดยใช้ปุ๋ยไนโตรเจนได้อย่างเหมาะสมตามผลตรวจวิเคราะห์ดิน ลดการใส่ปุ๋ยเกินความจำเป็น ลดการสูญเสียไนโตรเจนที่ระเหยและกลายเป็นก๊าซเรือนกระจก และยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ช่วยบ่งชี้ว่าการใช้เทคโนโลยี และปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการในการผลิตข้าวช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก ผลจากการใช้เทคโนโลยี ร่วมกับองค์ความรู้ต่าง ๆ นอกจากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้วยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการผลิต การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อมุ่งสู่การทำการเกษตรแม่นยำสูง นับเป็นต้นแบบที่ชัดเจนในการทำเกษตรสมัยใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รักษ์โลกอย่างยั่งยืน หากท่านใดสนใจข้อมูล หรือสนใจศึกษาดูงาน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คุณสวณีย์ โพธ์รัง ผู้จัดการกลุ่มฯ โทร. 08 6805 5479
Go To Lead
|
นวัตกร ซีพีเอฟ มุ่งยกระดับการผลิตอาหารสัตว์ด้วย AI และดิจิทัล
ขับเคลื่อนการสร้างอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภค หนุนความมั่นคงทางอาหาร
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการผลิตอาหารปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "ครัวโลก" (Kitchen of the World) พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกระดับขององค์กร โดยมุ่งพัฒนาบุคลากรให้ก้าวสู่การเป็น นวัตกร ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ที่สามารถคิด-สร้างนวัตกรรม ต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารสู่สากล
ล่าสุด ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ จัดงาน Feed Innovation Week 2025 ภายใต้แนวคิด Innovate for Better Tomorrow นวัตกรรมเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เพื่อผลักดันพนักงานสู่การเป็นนวัตกร ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วย AI และดิจิทัลเทคโนโลยี ภายในงานมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรมที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 100 ผลงาน ที่สามารถ ใช้งานได้จริง เป็นฐานพัฒนาสู่ต้นแบบและการใช้งานจริงในกระบวนการผลิต
นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจอาหารสัตว์บก กล่าวว่า บริษัทฯมุ่งมั่นในการผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลAIองค์ความรู้จากอุตสาหกรรม เพื่อต่อยอดกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ลูกค้า และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผ่านการสร้างบุคลากรด้านนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ
ธุรกิจอาหารสัตว์บก เปิดเวทีให้พนักงานร่วมสร้างผลงานนวัตกรรมต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ปัจจุบัน มีนวัตกรรวม 1,063 คน คิดเป็นมากกว่า 60% ของพนักงานทั้งหมด สะท้อนวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิดค้นและปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้ทุกคนกล้าคิด กล้าทำ และสร้างคุณค่าใหม่ให้ธุรกิจ และเราไม่หยุดพัฒนาได้จริง
ปีนี้ธุรกิจฯ ยังได้รับรางวัล CP Excellence Award 2025 ระดับ Platinum โดยเฉพาะด้าน การจัดการนวัตกรรม สะท้อนการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนของการประยุกต์ใช้ AI การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการนำระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต
การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายในและพันธมิตรภายนอก ทั้งด้านผลิต วิชาการ การตลาด บัญชี วิศวกรรม และบริษัทเทคโนโลยี ต่อยอดการแลกเปลี่ยนความรู้และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถขยายผลได้จริง ตอกย้ำเป้าหมายของซีพีเอฟในการส่งต่ออาหารปลอดภัยและสร้างความมั่นคงทางอาหารสู่ผู้บริโภค พร้อมยกระดับขีดความสามารถขององค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
Feed Innovation Week 2025 นับเป็นเวทีที่เปลี่ยน แนวคิด ให้เป็น ต้นแบบ และเปลี่ยน ต้นแบบ ให้กลายเป็น ผลงานใช้งานจริง ซึ่งจะขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสัตว์บกสู่อนาคตที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้ในระดับโลก
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|