|
ธ.ก.ส. Kick off 'บริหารหนี้' ดำเนินคดี
ธ.ก.ส. วางนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการประชุมสื่อสาร (Kick off) โครงการระบบงาน บริหารหนี้ดำเนินคดี เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานด้านการบริหารจัดการหนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และลดค่าใช้จ่าย
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า นโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการประชุมสื่อสาร (Kick off) โครงการระบบงาน บริหารหนี้ดำเนินคดี เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานด้านการบริหารจัดการหนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และลดค่าใช้จ่าย
ทำให้สามารถหาทางออกที่ดีร่วมกันเพื่อให้ลูกค้ามีสถานะบัญชีปกติก่อนเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมาย โดยระบบงานดังกล่าว จะเชื่อมโยงกับระบบงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของธนาคาร ทั้งยังป้องกันข้อผิดพลาดจากการดำเนินงาน เนื่องจากมีการแจ้งเตือนโดยระบบรองรับการบริหารจัดการหนี้ดำเนินคดีทั้งกระบวนการ
ตั้งแต่กระบวนการเรียกคืนเงินกู้ การเสนอดำเนินคดี การบริหารจัดการงานคดี การติดตามหนี้ตามคำพิพากษา กระบวนการบังคับคดีและการขายทอดตลาด รวมถึงการจำหน่ายหนี้เงินกู้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ และรองรับความผิดทางละเมิด นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ ธ.ก.ส. ในการยกระดับกระบวนการบริหารหนี้ดำเนินคดีอย่างมีประสิทธิภาพ
Go To Lead
|
KBank - SC Asset อสังหาฯ รายแรก หนุนลูกบ้านใช้พลังงานสะอาด
ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset สนับสนุนให้ลูกบ้านที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) เป็นรายแรกในไทย ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้การเข้าถึงพลังงานสะอาดและการสร้างรายได้จากพลังงานทดแทนเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับทุกครัวเรือน พร้อมร่วมกันสร้างสังคมพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ โดยคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และลดค่าไฟรวมกว่า 14.5 ล้านบาทต่อปี
ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดโซลาร์รูฟท็อปโดยเฉพาะในภาคครัวเรือนและธุรกิจ SME มีแนวโน้มตื่นตัวและให้ความสนใจในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคามากขึ้น สาเหตุจากต้นทุนการติดตั้งปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ โดยคาดว่าปี พ.ศ. 2568-2578 จะมีจำนวนหลังคาเรือนที่ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 หลังคาเรือนทั่วประเทศ โดยธนาคารกสิกรไทยได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม GreenPass สำหรับการขึ้นทะเบียนและซื้อขายใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) เพื่อสนับสนุนให้ภาคประชาชนและผู้ประกอบการ SME สร้างรายได้เพิ่ม จากการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้อย่างเต็มที่ และคืนทุนจากการติดตั้งได้เร็วขึ้น
สำหรับความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ นับเป็นการยกระดับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายแรกในไทย ด้วยการสนับสนุนให้อาคารสำนักงาน พื้นที่โครงการ ตลอดจนที่อยู่อาศัยของลูกบ้านที่ติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป สามารถขึ้นทะเบียน REC ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ ไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการผลักดันแนวคิด Sustainable Living ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
นางสาวสุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมมือกันระหว่าง SC Asset และ ธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเราในการยกระดับการใช้พลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัย ควบคู่กับการสร้างคุณค่าเพิ่มให้ลูกค้า และสนับสนุนการสร้างสังคมพลังงานยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจ SCero Mission ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 100,000 ตัน ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
SC Asset ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทยที่ชวนลูกบ้านขึ้นทะเบียนซื้อขาย REC โดยเริ่มจากกลุ่มลูกบ้านที่ติดโซลาร์แล้วกว่า 600 ยูนิต ครอบคลุมทั้งบ้านและคลับเฮ้าส์ในโครงการเก่าและโครงการใหม่ และจะขยายเพิ่มต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และลดค่าไฟรวมเกือบ 14.5 ล้านบาทต่อปี นอกจากกลุ่มบ้านพักอาศัยแล้ว กลุ่มธุรกิจอาคารเพื่อเช่า ได้แก่ อาคาร SCT, อาคารชินวัตร 3 (สำนักงานใหญ่ของ SC Asset) และ The Junction ยังได้เข้าร่วมการขึ้นทะเบียนในครั้งนี้ด้วย ตอกย้ำการเดินหน้าสู่สังคมพลังงานยั่งยืนอย่างรอบด้าน ภายใต้พันธกิจ SCero Mission
ลูกบ้าน SC Asset ที่สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมโครงการได้ ที่ https://app.ruejaiclub.com/g80n สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1749 หรือติดต่อที่นิติฯ โครงการ SC พิเศษ! ลูกบ้านรับ Morning Coin คืน 2,000 MNC (มูลค่า 200 บาท) เมื่อกดรับสิทธิ์และลงทะเบียน REC สำเร็จ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568
Go To Lead
|
SCB FM มองการเมืองไทยยังไม่ส่งผลต่อเงินบาทมากนัก
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยพบว่าความผันผวน (Volatility) ของเงินบาทลดลง สอดคล้องกับ Volatility ของตลาดการเงินโลกที่ลดลง ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นผลจากนักลงทุนเริ่มชินกับความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ รวมถึงนโยบายเรื่อง Tariffs และสงครามระหว่างประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้น ปัจจัยที่ทำให้บาทยังแข็งค่าต่อได้มาจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง จาก 1) Jarome Powell ประธาน Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2) Trump ปลด Lisa Cook จากตำแหน่ง Fed governor และ 3) ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีมติว่านโยบาย Tariffs ของ Trump ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (แต่ยังให้บังคับใช้ต่อได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ด้านเงินหยวนยังแข็งค่าขึ้น แม้เลขเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอ โดยธนาคารกลางจีนปล่อยให้ Fixing เงินหยวนแข็งค่าขึ้นด้วย จึงหนุนให้เงินภูมิภาคแข็งค่าตามไปด้วย นอกจากนี้ ราคาทองคำที่สูงขึ้นยังหนุนให้เงินบาทแข็งค่าตาม และแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค สำหรับปัจจัยในประเทศคือเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2 ออกมาดีตามคาด จากการเร่งส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ทำให้มีการปรับประมาณการ GDP ปี 2025 สูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ พบว่า ธปท. เข้าดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยเห็นว่าเงินบาทได้รับแรง support ที่ระดับราว 32.25 ซึ่งอาจสะท้อนการเข้าแทรกแซงโดยการขายเงินบาทเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐออกมา ทำให้บาทยังไม่สามารถแข็งค่าต่ำกว่าระดับนี้ได้
ระยะต่อไป นายแพททริกมองว่าแนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับฉากทัศน์การเมืองไทยเป็นสำคัญ โดยปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดการเงินไทยคือ การประกาศใช้ พรบ. งบประมาณปี 2569 ว่าจะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่ และจะมีการประกาศยุบสภาหรือไม่ นายแพททริกมองว่าแม้การเลือกแคนดิเดตนายกฯ จะมีนัยต่อการเมืองในระยะต่อไปอย่างมาก แต่จะไม่ส่งผลต่อเงินบาทมากนัก โดยหากสามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้เร็ว ไม่ว่านายกฯ จะมาจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย คาดว่าเงินบาทจะไม่ผันผวนแรง และยังทรงตัวในระดับแข็งค่าต่อไปได้ อย่างไรก็ดี หากการโหวตยืดเยื้อ หรือไม่สามารถหาข้อตกลงได้ หรือนำไปสู่การยุบสภา อาจทำให้เงินบาทผันผวน และอ่อนค่าลงได้ ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การผ่าน พรบ. งบประมาณปี 2569 โดยในขณะนี้ได้ผ่านรัฐสภาในวาระที่ 3 ไปแล้ว ดังนั้น หากวุฒิสภาไม่ปรับแก้สาระสำคัญ ก็น่าจะสามารถประกาศใช้ พรบ. งบประมาณได้ตามกรอบเวลาเดิม ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยนัก
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า สำหรับกรณีฐาน (Baseline scenario) ที่การเลือกนายกฯ ทำได้เร็ว และ พรบ. งบประมาณผ่านได้ตามคาด เงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ หากมีการปรับแก้รายละเอียดเล็กน้อยของ พรบ. งบประมาณ รัฐสภาจะยังสามารถปรับแก้ได้ และไม่น่าจะกระทบกรอบเวลาในการประกาศใช้นัก ก็อาจไม่กระทบตลาดการเงินไทยนัก กรณี Alternative scenario คือ 1) หากมีการยุบสภา นักลงทุนอาจกังวลต่อความไม่แน่นอน หรือ 2) หากวุฒิสภาปรับแก้สาระสำคัญของ พรบ. และสภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาใหม่ อาจต้องมีคณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในการรับรองร่างที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็อาจทำให้การประกาศใช้ พรบ. งบประมาณล่าช้าออกไป ซึ่งในกรณีทั้ง 2 นี้ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าในระยะสั้น โดยมองกรอบที่ราว 33.60-33.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเด็นอื่นที่อาจกระทบเงินบาท และต้องติดตาม คือ 1) คำตัดสิน Supreme court ของสหรัฐฯ ต่อประเด็นอำนาจในการดำเนินนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ และ 2) แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed และจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องหรือไม่ และ Terminal rate จะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งการปลด Fed governor และแต่งตั้ง Fed chair ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน Powell ในปีหน้า จะส่งผลต่อ tone ของคณะกรรมการ FOMC
สำหรับมุมมองดอกเบี้ยนโยบายไทย นายวชิรวัฒน์ คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย1 ครั้งภายในปีนี้ และลดต่อได้อีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับมาสูงขึ้น ทั้งนี้ หากเกิด Shock การเมือง เช่น พรบ. งบประมาณล่าช้า หรือการเบิกจ่ายและออกนโยบายติดขัด ก็อาจทำให้นโยบายการเงินต้องผ่อนคลายมากขึ้น โดยอาจเห็น กนง. ลดดอกเบี้ยไปที่ 0.75% ภายใน 2026H1 ได้ USDTHB ที่ราว 31.70-32.20 เป็นระดับที่ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อได้ โดยหากการเมืองไทยได้ข้อสรุปเร็ว และเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าต่อ และเงินบาทแข็งค่าได้ นอกจากนี้ US Yields ที่ลดลงหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น และอาจทำให้บาทแข็งค่าต่อได้เช่นกัน แต่หาก USDTHB อยู่ที่ระดับราว 32.40-32.90 นายวชิรวัฒน์ มองว่าเป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้ โดยหากการเมืองไทยยังไม่นิ่ง และเกิดความไม่แน่นอนขึ้น เช่น ยังไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ในสัปดาห์นี้ คาดว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าในช่วงสั้น ซึ่งจะเป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกขาย USDTHB ได้ นอกจากนี้ อาจพิจารณาซื้อ Options เพื่อปิดความเสี่ยงการเมือง
Go To Lead
|
ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) ที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้* ซึ่งรวมถึงการดูแลรักษาทรัพย์สิน และการรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า (KYC) เพื่อให้ทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัยและสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ การดูแลรักษาทรัพย์สิน และการรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า เมื่อช่วงเดือน มีนาคม เมษายน 2568 โดยผู้แสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยตามที่ ก.ล.ต. เสนอ
ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (1) การปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ โดยมีลำดับการดำเนินการ เริ่มจากการระงับการให้บริการเฉพาะธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ การโอนทรัพย์สินและฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าไปยังผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ และการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (2) การผ่อนผันการจำกัดการประกอบธุรกิจ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย ซึ่งไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้โดยมีสาเหตุจากมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ประกอบธุรกิจเก็บรักษาหรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถขอผ่อนผันการจำกัดการประกอบธุรกิจเฉพาะส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ โดยต้องแสดงได้ว่ายังมีสภาพคล่องเพียงพอให้สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ตามปกติ (3) การปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดูแลรักษาทรัพย์สินของลูกค้า เพิ่มข้อยกเว้นกรณีการโอนทรัพย์สินของลูกค้า โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกค้า สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ การโอนตามคำสั่งที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายอื่น และการโอนที่เกิดจากผู้ประกอบธุรกิจประสงค์จะเลิกหรือโอนกิจการตามประเภทใบอนุญาต (4) การปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า เพิ่มข้อยกเว้นให้ผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนทรัพย์สินของลูกค้าสามารถให้บริการขายหลักทรัพย์และลดฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าที่รับโอนมาดังกล่าวได้ ในระหว่างที่ยังรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า (KYC) ไม่แล้วเสร็จ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว** ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
Go To Lead
|
EXIM BANK'ชวน'ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อบรมหลักสูตร EXIM 2X
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ขอเชิญผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เข้าร่วมอบรมหลักสูตร EXIM 2X เพื่อขยายเครือข่าย ต่อยอดความรู้ วางแผนกลยุทธ์สู่เวทีการค้าโลก สมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้-17 กันยายน 2568 (ประกาศผลการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่รอบ Pitching วันที่ 19 กันยายน 2568)
เงื่อนไขการสมัคร
เป็นนิติบุคคล มีความสนใจส่งออก หรือเริ่มต้นทำธุรกิจส่งออก
เป็นเจ้าของหรือทายาทกิจการ หรือผู้บริหารระดับผู้จัดการขึ้นไป
มีอายุอยู่ระหว่าง 28-45 ปี (Gen Y)
มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป
มีรายได้ปีล่าสุดอยู่ระหว่าง 5-50 ล้านบาท
อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เกษตร เกษตรแปรรูป หรือซัพพลายเชนของผู้ส่งออก
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 50 ท่านจะได้รับคำปรึกษาด้านการเงิน การตลาดจากผู้เชี่ยวชาญของ EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตร สร้างโอกาสการเติบโตแบบ X2 ผ่านเครือข่ายผู้ประกอบการพันธมิตรทางธุรกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ศึกษาดูงานจากประสบการณ์จริง และลุ้นรับสิทธิประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ่านเว็บไซต์ในเครือ LTMH (เจ้าของเพจลงทุนแมน)
ค่าใช้จ่ายเพียงท่านละ 20,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการศึกษาดูงานต่างประเทศ โดยชำระหลังผ่านการคัดเลือกแล้ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999
Go To Lead
|
SME D Bank-NT ยกระดับเทคโนโลยีสื่อสาร อัปเกรดบริการ
'หนุน' เอสเอ็มอีเพิ่มศักยภาพก้าวทันโลกธุรกิจยุคดิจิทัล
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการบูรณาการนำจุดเด่นของ 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มาร่วมกันยกระดับพัฒนาเทคโนโลยีระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบดิจิทัลของธนาคาร เพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างครบวงจร สะดวก รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ รวมถึง สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย มีคุณภาพ ต้นทุนประหยัด ช่วยสร้างประโยชน์ให้พร้อมต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต
แนวทางความร่วมมือประกอบด้วย การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ และมีศักยภาพเพิ่มขึ้น จัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ให้ลูกค้าธนาคาร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการสื่อสารในการบริหารจัดการองค์กรและขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง ได้รับสิทธิพิเศษในการสนับสนุนการใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อรองรับการใช้งานระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นอกจากนั้น สมาชิก NT ที่สมัครเป็นสมาชิกแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank ได้รับสิทธิการเข้าร่วมโครงการพัฒนา บริการที่ปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจ รวมถึง รับ 500 Points นำไปใช้แลกสิทธิประโยชน์การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการเงินทุน เพื่อลงทุน ยกระดับ ปรับปรุงด้านระบบเทคโนโลยีต่างๆ หรือเสริมสภาพคล่องหมุนเวียนในธุรกิจ SME D Bank พร้อมสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) มีจุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน ควบคู่กับมอบบริการด้าน การพัฒนา ครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการยกระดับธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเดินหน้ากิจการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า NT ต้องขอขอบคุณ SME D Bank ที่ให้ความไว้วางใจ NT ในการที่จะร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารโทรคมนาคมสู่ยุคดิจิทัลและ AI เพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์กร และบุคลากร เสริมจุดแข็งด้านคุณภาพและทักษะความเชี่ยวชาญควบคู่ไปกับการสร้างความรวดเร็วคล่องตัวในการดำเนินงานด้วย Big Data ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต รวมถึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของ SME D Bank ให้สามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนไปสู่ Digital Transformation เพื่อยกระดับธุรกิจด้วยการดำเนินงานที่ใช้งานนวัตกรรมดิจิทัลเป็นพื้นฐาน ต่อยอดด้วยการใช้งานเทคโนโลยีด้าน AI ในการเพิ่มศักยภาพของการประกอบธุรกิจ และขยายขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดให้สามารถเดินหน้ารองรับการเติบโตและการเข้ามาลงทุนในอนาคตของอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่อไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างยั่งยืน
Go To Lead
|
กรุงศรี 'ชี้'เงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขาย 31.40-32.00 บาท
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-32.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 31.72 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 31.58-32.12 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปี เงินดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบยูโรแต่แข็งค่าเทียบเงินเยน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯออกมาต่ำเกินคาด อีกทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์พุ่งขึ้น เปิดทางธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ลดดอกเบี้ย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯลดลงทดสอบระดับ 4% ทั้งนี้ PPI เดือนสิงหาคมติดลบ 0.1% เมื่อเทียบรายเดือนและเพิ่มขึ้น 2.6% เทียบรายปี อย่างไรก็ดี รายการที่ส่งผลต่อมาตรวัดเงินเฟ้อหลักหรือ PCE ของเฟด ไม่ได้อ่อนแอมาก ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงขึ้น 2.9% y-o-y สอดคล้องกับที่ตลาดคาด ทางด้านธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)คงดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่ 2.00% โดยประธานอีซีบีระบุว่ากระบวนการลดลงของเงินเฟ้อ (Disinflationary Process) สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าต้องมีเงื่อนไขมากขึ้นถึงจะตัดสินใจลดดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 2,103 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 10,187 ล้านบาท
สัปดาห์นี้ เหตุการณ์สำคัญของตลาดการเงินโลกจะอยู่ที่การประชุมเฟดวันที่ 16-17 กันยายน ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 25bp เป็น 4.00-4.25% ขณะที่ข้อมูลบ่งชี้ว่าการส่งผ่านต้นทุนภาษีนำเข้าไปยังราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอาจเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าที่คาดไว้ และการทบทวนตัวเลขจ้างงานเน้นย้ำว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลงก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรเมื่อต้นเดือนเมษายน นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับประมาณการดอกเบี้ย (Dot Plot) ชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดสะท้อนมุมมองการปรับลดดอกเบี้ย 25bp ในทุกรอบประชุมเฟดที่เหลือสามครั้งในปีนี้ และตลาดคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะลงไปต่ำกว่า 3.00% ในปี 69 ทำให้ในระยะสั้นดอลลาร์อาจฟื้นตัวขึ้นจากการขายสกุลเงินอื่นๆเพื่อทำกำไรยกเว้นแต่ว่าเฟดจะสร้างความประหลาดใจโดยสื่อสารว่ากำลังพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าครั้งละ 25bp
ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มประกาศคงดอกเบี้ยที่ 4.00% และ 0.50% ในวันที่ 18 กันยายน และ 19 กันยายน ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนจะจับสัญญาณเพื่อประเมินจังหวะเวลาการลดดอกเบี้ยของบีโออีและการขึ้นดอกเบี้ยของบีโอเจต่อไป
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|