กูรู 'แนะ' ยกระดับ 'ลงทุน'ฝ่าวิกฤต
เศรษฐกิจไทยเจอความท้าทายรอบด้าน ข้างนอกพึ่งยาก ข้างในเปราะบาง โจทย์ท้าทายของรัฐบาลใหม่ในการฟื้นความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และยกระดับการลงทุนของประเทศท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยโต 1.8% ปีนี้ และชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% และยังเสี่ยง Technical recession แรงส่งหลักของเศรษฐกิจจะแผ่วลง ความท้าทายภายนอกและภายในจะมาพร้อมข้อจำกัดการคลังที่มากขึ้น เศรษฐกิจไทยจะพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น
สงครามการค้า : ภาษีสหรัฐฯ 19% เริ่มกดดัน ส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ชะลอลง สินค้าหลายกลุ่มเริ่มหดตัวและมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง บาทแข็งนำสกุลอื่น : แข็งสุดตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2540 ไม่สอดคล้องปัจจัยพื้นฐาน ยิ่งกดดันส่งออกและท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อน มีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด : นักท่องเที่ยวใช้จ่ายระวังขึ้น ไทยอาจเสียเปรียบคู่แข่งจากบาทแข็ง
ภายในประเทศจะเปราะบางขึ้น
ธุรกิจ SMEs เปราะบาง : รายได้เฉลี่ยยังต่ำกว่าก่อนโควิด กำไรต่ำ บริษัท ผีดิบ เพิ่มขึ้น ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ : ว่างงานบางกลุ่มสูงขึ้น ชั่วโมงทำงานลด รายได้ลดลง
ข้อจำกัดการคลัง : เสี่ยงเบิกจ่ายช้า หนี้สาธารณะใกล้แตะเพดาน เสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตประเทศSCB EIC มอง กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีก 1 ครั้งต้นปีหน้าเหลือ 1% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงเครดิตรัฐบาลใหม่ควรเน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน (3S) ได้แก่ 1) Stabilize เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น เน้นเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและการผลักดันที่มีประสิทธิ
2) Stimulateเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ควบคู่กับการผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อ และการดูแลค่าเงินบาท และ 3) Structural reform ยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค การจัดหาตลาดใหม่ และการผลักดัน Green investment ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ผ่านวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง
มองเศรษฐกิจโลกโตชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 จากผลนโยบาย Trump กดดันการค้าการลงทุนโลก แต่ในระยะต่อไปจะมีแรงขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล AI และพลังงานสะอาด เร่งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ และกระแส Friendshoring, Reshoring และ Nearshoring
ไทยต้องเร่งโอกาสดึงดูด FDI อย่างมีกลยุทธ์ท่ามกลางโลกแบ่งขั้วFDI ไทยยังมีโอกาสขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่ม Data center และ Future food ขณะที่อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ยังเติบโตได้ แต่เผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลกและการไหลกลับของเงินลงทุนไป USMCA, ญี่ปุ่น และ EU ที่ได้เปรียบข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ความท้าทายด้านการแข่งขันและเงื่อนไขการลงทุนของไทยยังมีมากขึ้น
ผู้ประกอบการไทยต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตทักษะแรงงานเชื่อม Supply chain โลก ภาครัฐต้องเร่งปรับกฎระเบียบลดอุปสรรคขั้นตอนสร้าง Ecosystem เอื้อการลงทุน
Go To Lead
|