|
|
|
หนุนแนวทาง 'ผู้ป่วย NCDs' สิทธิบัตรทองรับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรม
ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช ในฐานะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และนายกสภาเภสัชกรรม วาระที่ 11 (พ.ศ. 25682570) เปิดเผยว่า จากกรณีที่บอร์ด สปสช. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นควรให้มีการศึกษาแนวทางการจัดสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง เพื่อให้สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยนวัตกรรมได้นั้น เห็นด้วยกับการศึกษาประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะในมิติของการเพิ่มทางเลือกในการรับบริการ และการลดความแออัดของโรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย NCDs จำนวนมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง โดยทั่วไปต้องเข้ารับการรักษา รับยา และติดตามอาการอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตามสิทธิ แต่สำหรับผู้ป่วยที่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ดี หรือมีอาการคงที่ เช่น สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม และยังต้องรับประทานยาต่อเนื่อง ก็อาจเป็นกลุ่มที่สามารถไปรับบริการหรือรับยาที่หน่วยนวัตกรรมได้ โดยต้องมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลการให้บริการกับโรงพยาบาลประจำสิทธิของผู้ป่วย เพื่อให้การจ่ายยาเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการของผู้ป่วย หากมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ดังกล่าวในอนาคต
ที่ผ่านมา สปสช. มีการดำเนินโครงการในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยให้ร้านยาที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทอง เชื่อมการดูแลผู้ป่วย NCDs รวมถึงโรคที่จำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่องกับโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยรายนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถไปรับยาที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านระบบการสั่งจ่ายยาจากห้องยาของโรงพยาบาลไปยังร้านยา หรือระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Prescription) เมื่อร้านยาได้รับใบสั่งยาแล้ว จะมีการนัดหมายให้ผู้ป่วยมารับยาแทนการเดินทางไปโรงพยาบาล อาจเป็นทุก 1 เดือน หรือ 3 เดือนต่อครั้ง ตามความเหมาะสม
สำหรับแนวคิดการขยายขอบเขตให้ผู้ป่วย NCDs เข้ารับบริการในหน่วยนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองในกลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illnesses) เช่น ร้านยา หรือคลินิกเวชกรรม มองว่าเป็นการต่อยอดและยกระดับระบบบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่พัฒนาขึ้น ทั้งระบบเชื่อมโยงข้อมูล และบริการเภสัชกรรมทางไกล (Tele pharmacy) ที่สามารถให้คำแนะนำการใช้ยาและติดตามอาการผู้ป่วยจากระยะไกลได้อย่างสะดวก รวมถึงกรณีที่ผู้ป่วยต้องการปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านระบบ Tele pharmacy ที่เชื่อมเครือข่ายกับโรงพยาบาลได้ ทั้งหมดนี้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
Go To Lead
|
|
'ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน รพ.บำรุงราษฎร์' ย้ำผู้นำรักษาโรคมะเร็งระดับโลก
ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการรับรองมาตรฐาน The ESMO Designated Centres of Integrated Oncology and Palliative Care โดย European Society for Medical Oncology (ESMO) หรือ สมาคมมะเร็งวิทยาแห่งยุโรป ซึ่งถือเป็นองค์กรวิชาชีพด้านมะเร็งวิทยาระดับนานาชาติ เพื่อยกย่องสถานดูแลรักษามะเร็งที่มีการบูรณาการการดูแลด้านมะเร็งและการประคับประคองอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยศูนย์มะเร็งฮอไรซัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้ป่วยมะเร็งชั้นนำของประเทศไทย และเป็นโรงพยาบาลของไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับ 250 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก (Worlds Best Hospitals) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน (2021-2025) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Newsweek และ Statista ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านการบริบาลทางการแพทย์ระดับโลกที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับการดูแลเอาใจใส่ โดยมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
ศูนย์มะเร็งฮอไรซันให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการรักษาโรค แต่ยังครอบคลุมถึงการดูแลสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย โดยทีมแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น อายุรแพทย์ด้านมะเร็ง ศัลยแพทย์ด้านมะเร็ง และรังสีแพทย์ รวมถึงทีมงานสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ พยาบาล เภสัชกร นักโภชนาการ และนักจิตวิทยา ที่ทำงานร่วมกันเพื่อวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การตรวจพันธุกรรม และการวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีรักษา ยามุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัด
Go To Lead
|
|
'KLINIQ' เปิดตัว Acne Labs เจาะกลุ่มเทรนด์ Gen Z
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยถึง หัวใจสำคัญของ Acne Labs คือ การมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง (Board of Dermatology) และแพทย์ผู้ชำนาญการในการรักษาสิวและโรคผิวหนัง เพื่อสร้างมาตรฐานความเชื่อมั่นสูงสุดในการดูแลคนไข้ การรักษาที่นี่จึงไม่ใช่เพียงการทำหัตถการทั่วไป แต่เป็น Targeted Therapy การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงที่เน้นการวินิจฉัยเชิงลึก (In-depth Diagnosis) เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของสิวในแต่ละบุคคล นำไปสู่การวางแผนการรักษาที่แม่นยำและยั่งยืน (Personalized Treatment Protocol) ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ในระยะยาว
ทั้งนี้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด Acne Labs ได้ใช้เครื่องมือรักษาสิวมาตรฐานสากลที่เป็น Gold Standard ระดับโลก อาทิ AviClear นวัตกรรมเลเซอร์หนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US FDA สำหรับการรักษาสิวที่ต้นเหตุ โดยเข้าไปลดการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) มีความปลอดภัยสูง โดยลดการพึ่งพายารับประทาน และ Vbeam Perfecta เลเซอร์กลุ่ม Pulsed Dye Laser (PDL) ที่ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการกำจัดรอยแดงและอาการอักเสบของสิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน และสูตรยารักษาสิวเฉพาะบุคคลที่พัฒนาโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก การผสานเทคโนโลยี ตัวยา และเทคนิคการรักษารูปแบบเฉพาะเหล่านี้ช่วยให้คนไข้เห็นผลการรักษาที่ชัดเจนและรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูงสุด
ขณะเดียวกันหากเจาะพฤติกรรม Gen Z ขุมพลังใหม่ขับเคลื่อนตลาดความงามไทยปี 2568 การเปิดตัว Acne Labs สอดคล้องกับรายงานจาก ttb analytics และ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ประเมินว่ามูลค่าตลาดเสริมความงามไทยในปี 2568 จะขยับขึ้นไปแตะระดับ 75,000 76,500 ล้านบาท โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่ม Gen Z ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่ม Skin-Intellectuals หรือผู้บริโภคที่มีความรู้เชิงลึกในด้านส่วนผสมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ กลุ่มนี้ยินดีจ่ายให้กับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของตัวยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์มากกว่าการโฆษณาแบบ Mass Market นอกจากนี้ พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ยังมองว่าผิวที่ใสสะอาด (Clear Skin) คือการลงทุนพื้นฐานด้านภาพลักษณ์ ทำให้การรักษาสิวกลายเป็นบริการที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Revenue) และเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดสู่บริการความงามอื่น ๆ ของบริษัทได้เป็นอย่างดี ม ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยี เครื่องมือทดสอบเสียงที่ได้มาตรฐานจาก Chula Unisearch ไปจนถึงการฟื้นฟูด้วย เครื่องช่วยฟัง AI อัจฉริยะ โดยมีเครือข่าย สาขาให้บริการทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
Go To Lead
|
|
'ม.วลัยลักษณ์' เปิดตัว SIRIN MUSEUM
ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เปิดตัว Soft Opening พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (SIRIN MUSEUM) อย่างเป็นทางการ ภายใต้งบประมาณกว่า 350 ล้านบาท ชูแนวคิด ตามรอยเจ้าฟ้านักอนุรักษ์ จากยอดเขาถึงใต้ทะเล มุ่งเป้าเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรรมชาติวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย พร้อมเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่กว่า 9,545 ไร่ ให้เป็น อุทยานการศึกษาเฉลิมพระเกียรติ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสนองงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ (อพ.สธ.) โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามว่า อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เมื่อปี 2564
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ วุฒิสุทธิเมธาวี ได้บอกเล่าถึงความพิเศษของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ที่เปรียบเสมือนบันทึกการเดินทางของธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด ตามรอยเจ้าฟ้านักอนุรักษ์ จากยอดเขาถึงใต้ทะเล โดยที่นี่จะพาคุณไปสัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรไทย ผ่านการจัดแสดงผลงานวิจัยของ มวล. และเครือข่าย อพ.สธ. ที่ร้อยเรียงผ่าน 8 ห้องจัดแสดง เริ่มต้นตั้งแต่ความยิ่งใหญ่ของ เขาหลวง ไหลลงสู่ ลุ่มน้ำปากพนัง ไปจนถึง ชายฝั่งและอ่าวไทย เพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ (SIRIN MUSEUM) พร้อมเปิดให้บริการแก่สาธารณชนแล้ววันนี้ ผู้สนใจเข้าชมสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ ม.วลัยลักษณ์
Go To Lead
|
|
'เซนต์จอร์จ-มหิดล' เปิดตัวโครงการปริญญาคู่วิชาการแพทย์
มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ คณะแพทยศาสตร์ ประเทศเกรนาดา หมู่เกาะเวสต์อินดิส ร่วมกับวิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University International College: MUIC) ลงนามความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเปิดโครงการปริญญาคู่ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ลดระยะเวลาในการสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์ได้เร็วขึ้น โครงการนี้มีระยะเวลา 7 ปี โดยเริ่มจากการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ MUIC เป็นเวลา 3 ปี (96 หน่วยกิต) จากนั้นเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (MD) ที่ SGU เป็นเวลา 4 ปี นักศึกษาที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถเลือกเรียนปีแรกของหลักสูตรแพทย์ที่วิทยาเขตหลักของ SGU ที่เกรนาดา หรือที่มหาวิทยาลัยนอร์ธัมเบรีย ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของ SGU เมื่อสำเร็จการศึกษาปีแรกของหลักสูตร MD นักศึกษาจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ (Bachelor of Science) จาก MUIC และจะเข้าศึกษาต่อในปีที่เหลือของหลักสูตร MD ที่ SGU โครงการปริญญาคู่นี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถได้รับปริญญาจากทั้ง MUIC และ SGU พร้อมย่นระยะเวลาในการเรียนแพทย์ลงได้ 1 ปี
Aurelie Lily Phommarack ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศของ SGU กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งแรกกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SGU ในการยกระดับการศึกษาด้านการแพทย์ในไทย โครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการแพทย์ระดับคุณภาพสูงและประสบการณ์ทางคลินิกอันมีค่า ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจร่วมของเราที่ต้องการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาให้สามารถดูแลผู้ป่วยในสังคมที่หลากหลายทั่วโลก บัณฑิตจากโครงการปริญญาคู่จะได้รับประสบการณ์จริงทางคลินิก การเรียนรู้เชิงวิชาการที่เข้มแข็ง และโอกาสเข้าถึงเครือข่ายศิษย์เก่าและบุคลากรทางการแพทย์ระดับนานาชาติ ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางสำคัญสำหรับนักศึกษาไทยที่ต้องการประกอบวิชาชีพแพทย์ในบริบทสากล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรรมนูญ จรัสเลิศรังษี ประธานกลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ MUIC กล่าวว่า โครงการปริญญาคู่นี้เป็นโอกาสสำคัญที่เปิดให้นักศึกษาได้รับการศึกษาด้านการแพทย์ในมุมมองระดับสากลอย่างรอบด้าน โดยผสานพื้นฐานวิชาการอันแข็งแกร่งจาก MUIC กับประสบการณ์ฝึกปฏิบัติทางคลินิกในสภาพแวดล้อมนานาชาติที่ SGU ประสบการณ์ระดับโลกเหล่านี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ได้ในเวทีสากล และสร้างผลลัพธ์ที่ขยายวงกว้างไปไกลกว่าสังคมไทย
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|