Education/Health
Hot News: หนุนแนวทาง 'ผู้ป่วย NCDs' สิทธิบัตรทองรับบริการที่“หน่วยบริการนวัตกรรม
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
หนุนแนวทาง 'ผู้ป่วย NCDs' สิทธิบัตรทองรับบริการที่“หน่วยบริการนวัตกรรม
ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช ในฐานะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และนายกสภาเภสัชกรรม วาระที่ 11 (พ.ศ. 2568–2570) เปิดเผยว่า จากกรณีที่บอร์ด สปสช. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นควรให้มีการศึกษาแนวทางการจัดสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง เพื่อให้สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยนวัตกรรมได้นั้น เห็นด้วยกับการศึกษาประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะในมิติของการเพิ่มทางเลือกในการรับบริการ และการลดความแออัดของโรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย NCDs จำนวนมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง โดยทั่วไปต้องเข้ารับการรักษา รับยา และติดตามอาการอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตามสิทธิ แต่สำหรับผู้ป่วยที่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ดี หรือมีอาการคงที่ เช่น สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม และยังต้องรับประทานยาต่อเนื่อง ก็อาจเป็นกลุ่มที่สามารถไปรับบริการหรือรับยาที่หน่วยนวัตกรรมได้ โดยต้องมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลการให้บริการกับโรงพยาบาลประจำสิทธิของผู้ป่วย เพื่อให้การจ่ายยาเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการของผู้ป่วย หากมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ดังกล่าวในอนาคต
ที่ผ่านมา สปสช. มีการดำเนินโครงการในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยให้ร้านยาที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทอง เชื่อมการดูแลผู้ป่วย NCDs รวมถึงโรคที่จำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่องกับโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยรายนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถไปรับยาที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านระบบการสั่งจ่ายยาจากห้องยาของโรงพยาบาลไปยังร้านยา หรือระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Prescription) เมื่อร้านยาได้รับใบสั่งยาแล้ว จะมีการนัดหมายให้ผู้ป่วยมารับยาแทนการเดินทางไปโรงพยาบาล อาจเป็นทุก 1 เดือน หรือ 3 เดือนต่อครั้ง ตามความเหมาะสม
สำหรับแนวคิดการขยายขอบเขตให้ผู้ป่วย NCDs เข้ารับบริการในหน่วยนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองในกลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illnesses) เช่น ร้านยา หรือคลินิกเวชกรรม มองว่าเป็นการต่อยอดและยกระดับระบบบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่พัฒนาขึ้น ทั้งระบบเชื่อมโยงข้อมูล และบริการเภสัชกรรมทางไกล (Tele pharmacy) ที่สามารถให้คำแนะนำการใช้ยาและติดตามอาการผู้ป่วยจากระยะไกลได้อย่างสะดวก รวมถึงกรณีที่ผู้ป่วยต้องการปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านระบบ Tele pharmacy ที่เชื่อมเครือข่ายกับโรงพยาบาลได้ ทั้งหมดนี้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

Go To Lead


'ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน รพ.บำรุงราษฎร์' ย้ำผู้นำรักษาโรคมะเร็งระดับโลก
ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการรับรองมาตรฐาน The ESMO Designated Centres of Integrated Oncology and Palliative Care โดย European Society for Medical Oncology (ESMO) หรือ สมาคมมะเร็งวิทยาแห่งยุโรป ซึ่งถือเป็นองค์กรวิชาชีพด้านมะเร็งวิทยาระดับนานาชาติ เพื่อยกย่องสถานดูแลรักษามะเร็งที่มีการบูรณาการการดูแลด้านมะเร็งและการประคับประคองอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยศูนย์มะเร็งฮอไรซัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้ป่วยมะเร็งชั้นนำของประเทศไทย และเป็นโรงพยาบาลของไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับ 250 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Hospitals) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน (2021-2025) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Newsweek และ Statista ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านการบริบาลทางการแพทย์ระดับโลกที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับการดูแลเอาใจใส่ โดยมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
ศูนย์มะเร็งฮอไรซันให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการรักษาโรค แต่ยังครอบคลุมถึงการดูแลสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย โดยทีมแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น อายุรแพทย์ด้านมะเร็ง ศัลยแพทย์ด้านมะเร็ง และรังสีแพทย์ รวมถึงทีมงานสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ พยาบาล เภสัชกร นักโภชนาการ และนักจิตวิทยา ที่ทำงานร่วมกันเพื่อวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การตรวจพันธุกรรม และการวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีรักษา ยามุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัด

Go To Lead


'KLINIQ' เปิดตัว ‘Acne Labs’ เจาะกลุ่มเทรนด์ Gen Z
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยถึง หัวใจสำคัญของ Acne Labs คือ การมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง (Board of Dermatology) และแพทย์ผู้ชำนาญการในการรักษาสิวและโรคผิวหนัง เพื่อสร้างมาตรฐานความเชื่อมั่นสูงสุดในการดูแลคนไข้ การรักษาที่นี่จึงไม่ใช่เพียงการทำหัตถการทั่วไป แต่เป็น Targeted Therapy การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงที่เน้นการวินิจฉัยเชิงลึก (In-depth Diagnosis) เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของสิวในแต่ละบุคคล นำไปสู่การวางแผนการรักษาที่แม่นยำและยั่งยืน (Personalized Treatment Protocol) ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ในระยะยาว
ทั้งนี้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด Acne Labs ได้ใช้เครื่องมือรักษาสิวมาตรฐานสากลที่เป็น Gold Standard ระดับโลก อาทิ AviClear นวัตกรรมเลเซอร์หนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US FDA สำหรับการรักษาสิวที่ต้นเหตุ โดยเข้าไปลดการทำงานของต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) มีความปลอดภัยสูง โดยลดการพึ่งพายารับประทาน และ Vbeam Perfecta เลเซอร์กลุ่ม Pulsed Dye Laser (PDL) ที่ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการกำจัดรอยแดงและอาการอักเสบของสิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน และสูตรยารักษาสิวเฉพาะบุคคลที่พัฒนาโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เพื่อมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ และฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก การผสานเทคโนโลยี ตัวยา และเทคนิคการรักษารูปแบบเฉพาะเหล่านี้ช่วยให้คนไข้เห็นผลการรักษาที่ชัดเจนและรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูงสุด
ขณะเดียวกันหากเจาะพฤติกรรม Gen Z ขุมพลังใหม่ขับเคลื่อนตลาดความงามไทยปี 2568 การเปิดตัว Acne Labs สอดคล้องกับรายงานจาก ttb analytics และ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ประเมินว่ามูลค่าตลาดเสริมความงามไทยในปี 2568 จะขยับขึ้นไปแตะระดับ 75,000 – 76,500 ล้านบาท โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่ม Gen Z ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่ม “Skin-Intellectuals” หรือผู้บริโภคที่มีความรู้เชิงลึกในด้านส่วนผสมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ กลุ่มนี้ยินดีจ่ายให้กับแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของตัวยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์มากกว่าการโฆษณาแบบ Mass Market นอกจากนี้ พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ยังมองว่าผิวที่ใสสะอาด (Clear Skin) คือการลงทุนพื้นฐานด้านภาพลักษณ์ ทำให้การรักษาสิวกลายเป็นบริการที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Revenue) และเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดสู่บริการความงามอื่น ๆ ของบริษัทได้เป็นอย่างดี ม ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยี เครื่องมือทดสอบเสียงที่ได้มาตรฐานจาก Chula Unisearch ไปจนถึงการฟื้นฟูด้วย เครื่องช่วยฟัง AI อัจฉริยะ โดยมีเครือข่าย สาขาให้บริการทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

Go To Lead


'ม.วลัยลักษณ์' เปิดตัว SIRIN MUSEUM
ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เปิดตัว Soft Opening “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์” (SIRIN MUSEUM) อย่างเป็นทางการ ภายใต้งบประมาณกว่า 350 ล้านบาท ชูแนวคิด “ตามรอยเจ้าฟ้านักอนุรักษ์ จากยอดเขาถึงใต้ทะเล” มุ่งเป้าเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรรมชาติวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย พร้อมเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่กว่า 9,545 ไร่ ให้เป็น “อุทยานการศึกษาเฉลิมพระเกียรติ” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสนองงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ (อพ.สธ.) โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามว่า “อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์” เมื่อปี 2564
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ วุฒิสุทธิเมธาวี ได้บอกเล่าถึงความพิเศษของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ที่เปรียบเสมือนบันทึกการเดินทางของธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด “ตามรอยเจ้าฟ้านักอนุรักษ์ จากยอดเขาถึงใต้ทะเล” โดยที่นี่จะพาคุณไปสัมผัสความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรไทย ผ่านการจัดแสดงผลงานวิจัยของ มวล. และเครือข่าย อพ.สธ. ที่ร้อยเรียงผ่าน 8 ห้องจัดแสดง เริ่มต้นตั้งแต่ความยิ่งใหญ่ของ “เขาหลวง” ไหลลงสู่ “ลุ่มน้ำปากพนัง” ไปจนถึง “ชายฝั่งและอ่าวไทย” เพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ (SIRIN MUSEUM) พร้อมเปิดให้บริการแก่สาธารณชนแล้ววันนี้ ผู้สนใจเข้าชมสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก : พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเทพรัตนราชสุดาฯ ม.วลัยลักษณ์

Go To Lead


'เซนต์จอร์จ-มหิดล' เปิดตัวโครงการปริญญาคู่วิชาการแพทย์
มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ คณะแพทยศาสตร์ ประเทศเกรนาดา หมู่เกาะเวสต์อินดิส ร่วมกับวิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University International College: MUIC) ลงนามความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเปิดโครงการปริญญาคู่ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ลดระยะเวลาในการสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์ได้เร็วขึ้น โครงการนี้มีระยะเวลา 7 ปี โดยเริ่มจากการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ MUIC เป็นเวลา 3 ปี (96 หน่วยกิต) จากนั้นเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (MD) ที่ SGU เป็นเวลา 4 ปี นักศึกษาที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถเลือกเรียนปีแรกของหลักสูตรแพทย์ที่วิทยาเขตหลักของ SGU ที่เกรนาดา หรือที่มหาวิทยาลัยนอร์ธัมเบรีย ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของ SGU เมื่อสำเร็จการศึกษาปีแรกของหลักสูตร MD นักศึกษาจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ (Bachelor of Science) จาก MUIC และจะเข้าศึกษาต่อในปีที่เหลือของหลักสูตร MD ที่ SGU โครงการปริญญาคู่นี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถได้รับปริญญาจากทั้ง MUIC และ SGU พร้อมย่นระยะเวลาในการเรียนแพทย์ลงได้ 1 ปี
Aurelie Lily Phommarack ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศของ SGU กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งแรกกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SGU ในการยกระดับการศึกษาด้านการแพทย์ในไทย โครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการแพทย์ระดับคุณภาพสูงและประสบการณ์ทางคลินิกอันมีค่า ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจร่วมของเราที่ต้องการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาให้สามารถดูแลผู้ป่วยในสังคมที่หลากหลายทั่วโลก บัณฑิตจากโครงการปริญญาคู่จะได้รับประสบการณ์จริงทางคลินิก การเรียนรู้เชิงวิชาการที่เข้มแข็ง และโอกาสเข้าถึงเครือข่ายศิษย์เก่าและบุคลากรทางการแพทย์ระดับนานาชาติ ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางสำคัญสำหรับนักศึกษาไทยที่ต้องการประกอบวิชาชีพแพทย์ในบริบทสากล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรรมนูญ จรัสเลิศรังษี ประธานกลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ MUIC กล่าวว่า โครงการปริญญาคู่นี้เป็นโอกาสสำคัญที่เปิดให้นักศึกษาได้รับการศึกษาด้านการแพทย์ในมุมมองระดับสากลอย่างรอบด้าน โดยผสานพื้นฐานวิชาการอันแข็งแกร่งจาก MUIC กับประสบการณ์ฝึกปฏิบัติทางคลินิกในสภาพแวดล้อมนานาชาติที่ SGU ประสบการณ์ระดับโลกเหล่านี้ช่วยให้นักศึกษาสามารถนำความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ได้ในเวทีสากล และสร้างผลลัพธ์ที่ขยายวงกว้างไปไกลกว่าสังคมไทย

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com