|
เปิดตัว รพ.พริ้นซ์ มุกดาหาร ตั้งเป้าเพิ่มยอดผู้ป่วยลาวเท่าตัว
นพ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC กล่าวว่า การเปิดโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหารในครั้งนี้ตามแผนงานปักหมุดเมืองการแพทย์แห่งใหม่ที่มุกดาหาร เพื่อร่วมดูแลคนชุมชนและสังคม ผ่านการลงทุนแผนกการแพทย์เฉพาะทางโรคตา กุมารเวช ผ่าตัดส่องกล้อง ฯลฯ ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน และมีการลงทุนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีมูลค่าสูง รองรับการดูแลผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารและใกล้เคียง รวมถึงชาวสปป.ลาว ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน ภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกล และไม่ต้องรอคิวนาน โดยตั้งเป้ารองรับผู้ป่วยชาวลาวเพิ่มขึ้นเท่าตัวในระยะ 3 ปีนี้
นพ.โสภณ นิลกำแหง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร กล่าวว่า โรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร ถือป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดมุกดาหาร ขนาด 59 เตียง และยังเป็นโรงพยาบาลต้นแบบด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มและสมาร์ทฮอสพิทอล (Smart Hospital) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมให้บริการรักษาโรคตา และโรคทั่วไป 24 ชั่วโมง เช่น กุมารเวช สูตินารีเวช ศัลยกรรม อายุรกรรม กระดูกและข้อ หูคอจมูก ศัลยกรรมสมอง ฯลฯ ส่วนในปี 2568 ตั้งเป้าเตรียมเปิดให้บริการโรคยากซับซ้อนรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมให้บริการรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั้งคนในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารและใกล้เคียงรวมถึง ชาวสปป.ลาว
สำหรับ โรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร นับเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 15 และเป็นแห่งที่ 4 ในพื้นที่พื้นที่ภาคอีสานของเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือ PRINC ทั้งหมด 15 แห่งใน 12 จังหวัด ประกอบด้วย โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน โรงพยาบาลศิริเวช ลำพูน โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 โรงพยาบาล พริ้นซ์ปากน้ำโพ 2 โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี โรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ ชุมพร โรงพยาบาลพิษณุเวช โรงพยาบาลพิษณุเวช พิจิตร โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ โรงพยาบาลรวมแพทย์พิษณุโลก และล่าสุดโรงพยาบาลพริ้นซ์ มุกดาหาร
Go To Lead
|
'โรงพยาบาลพระรามเก้า' ย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน
นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9)ได้รับการจัดอันดับในระดับ AAA จาก SET ESG Ratings โดยได้รับคะแนนสูงสุดในการประเมินการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจใน 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) ซึ่ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเราทุกคนในโรงพยาบาลพระรามเก้า เป็นผลจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เรามีความตั้งใจที่จะไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจ แต่ยังสร้างคุณค่าให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย เรามุ่งหวังว่าโรงพยาบาลพระรามเก้าจะเป็นต้นแบบสำคัญในการนำเสนอวิสัยทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพที่ดีในทุกมิติ ทั้งในด้านการแพทย์และความยั่งยืนทางธุรกิจ การได้รับการจัดอันดับในระดับ AAA นี้ยืนยันความเป็นผู้นำของโรงพยาบาลพระรามเก้าในการสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาในทุกมิติที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจ ทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ โรงพยาบาลพระรามเก้ายังได้รับรางวัล Highly Commended Sustainability Awards จากงาน SET AWARDS 2024 ภายใต้หมวด Sustainability Excellence ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
Go To Lead
|
อึ้ง! เด็กไทยส่อมีโรคประจำตัวจากความดันโลหิตสูง 10%
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย ปี 2567 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. พบเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี กินขนมกรุบกรอบรสเค็มมากที่สุด 84.1% กินเฉลี่ย 1.35 ซองต่อวัน รองลงมาเป็นกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 1-5 ปี 76.5% กินเฉลี่ย 1.23 ซองต่อวัน ที่สำคัญยังพบคนไทยเติมเครื่องปรุงรสเค็มเพิ่มในอาหารประมาณ 30% เฉลี่ย 0.86 ช้อนชาต่อวัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กมีการเติมเครื่องปรุงรสเค็มปริมาณมากที่สุด เฉลี่ย 0.89 ช้อนชาต่อวัน ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายลดการบริโภคเค็ม รณรงค์ขับเคลื่อนสังคมด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรม และนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ โดยเฉพาะลดการบริโภคเค็ม ผ่านแคมเปญ ลดเค็ม ลดโรค ผลประเมินพบว่า ประชาชนเกิดความตระหนักถึงผลกระทบจากการบริโภคเค็ม 92% และกระตุ้นการปรับพฤติกรรมลดการบริโภคเค็ม 85.1%
ล่าสุด สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย พัฒนานวัตกรรมเครื่องตรวจวัดความเค็มในอาหาร (Salt Meter) เตรียมขยายผลนำไปใช้ปรับพฤติกรรมลดเค็มทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ นอกจากนี้ มุ่งเน้นรณรงค์ลดการบริโภคน้ำตาล และไขมันทรานส์ พร้อมสนับสนุนการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารปลอดภัย กำหนดมาตรฐานอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจกรรมและโครงการที่เหมาะสม เช่น การพัฒนาศักยภาพแกนนำสุขภาพ การจัดตลาดเขียวในชุมชน และการพัฒนาโครงการเพื่อสุขภาพโดยชุมชนเป็นฐาน มุ่งลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต รองผู้จัดการกองทุน สสส.กล่าว
ด้าน นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การลดโรค NCDs เป็นภาระงานและความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุข มีคนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs กว่า 400,000 คนต่อปี สูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี ในปี 2568 มีสโลแกน กรมควบคุมโรคห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี มุ่งสนับสนุนกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) นำนวัตกรรม Salt Meter ขยายผลสร้างความตระหนักและควบคุมปริมาณโซเดียมในการปรุงอาหารของครัวเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานทั่วประเทศ เป็นแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวังและลดการบริโภคเกลือและโซเดียมระดับจังหวัด รวมถึงกำหนดปริมาณเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ผลักดันมาตรการภาษีโซเดียม มุ่งเป้าให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี ห่างไกลโรค NCDs ด้วยการลดการกินเค็ม ลดเกลือและโซเดียมเกินกำหนด สอดรับ 1 ใน 9 เป้าหมายลด NCDs ระดับโลก (9 global targets for noncommunicable diseases for 2025)
Go To Lead
|
'DPU' จับมือ 'Chinese Plus' เสริมทักษะ นศ.จีน-ไทย ปั้นนักไลฟ์มืออาชีพ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับ Chinese Plus วิทยาลัยอาชีวศึกษาอีคอมเมิร์ซกุ้ยโจว ประเทศจีน และบริษัทกุ้ยโจว เฉียนเยว่โยวผิ่น อิมพอร์ต แอนด์ เอ็กซ์พอร์ต อีคอมเมิร์ซ จำกัด ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ(MOU) เปิดโครงการ Guijiang Workshop และ สถาบันอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจีน-ไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ พัฒนาทักษะอีคอมเมิร์ซ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการศึกษาไทยและจีน ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์ความร่วมมือด้านภาษาและวัฒนธรรมจีนของกระทรวงศึกษาธิการจีน
ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 7.5 แสนล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 6% การขยายตัวนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในวงการธุรกิจและการศึกษา เพื่อตอบรับแนวโน้มดังกล่าวมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จึงร่วมมือจากวิทยาลัยอาชีวะศึกษาอีคอมเมิร์ซกุ้ยโจว และบริษัทนำเข้าส่งออกสินค้าอีคอมเมิร์ซกุ้ยโจว เฉียนเยว่โยวผิ่น เพื่อจัดตั้งโครงการ Guijiang Workshop และสถาบันอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจีน-ไทย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะระดับสากล พร้อมมุ่งเน้นผลิตนักอีคอมเมิร์ซที่มีความเชี่ยวชาญ จำนวน 300 คนภายใน 3 ปี ทั้งนี้มหาวิทยาลัยยังได้นำจุดแข็งด้านการเรียนการสอน สาขาการค้าระหว่างประเทศ โลจิสติกส์ และภาษาจีนธุรกิจ รวมถึงการสนับสนุนจากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาต่อยอดความร่วมมือในครั้งนี้
ดร.โชติกานต์ จิราลักษณ์สกุล หัวหน้าหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบอีคอมเมิร์ซและไลฟ์สตรีมมิ่ง ระหว่างทีมแข่งขันจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาอีคอมเมิร์ซกุ้ยโจว ประเทศจีน และนักศึกษา DPU มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้สภาพจริงของอีคอมเมิร์ซและเข้าใจกระบวนการทำงานจริง ภายหลังการแข่งขันจะมีการอบรมอย่างเข้มข้น 3 วัน ระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม 2567 โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากกุ้ยโจว เฉียนเยว่โยวผิ่น ฯ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ ตั้งแต่กระบวนการตั้งราคา การทำโปรโมชัน ไปจนถึงการกระตุ้นยอดขาย โดยบริษัทได้พัฒนาแฟลตฟอร์มพิเศษที่ช่วยให้นักศึกษาสามารถวางแผนการขายก่อนไลฟ์สด รวมถึงสร้างแฟลตฟอร์มจำลองการไลฟ์สด ที่สามารถเก็บข้อมูลหลังบ้าน เพื่อนำไปวิเคราะห์การตลาดได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสทางการศึกษาที่น่าสนใจ นอกจากนี้ในอนาคตมหาวิทยาลัยมีแผนขยายความร่วมมือ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทดังกล่าวมาเป็นวิทยากร และสอนบางรายวิชาที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยจะใช้ห้องปฏิบัติการ Guijiang สตูดิโอ เป็นฐานฝึกปฏิบัติไลฟ์ขายสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาทุกคณะสามารถใช้ห้องสตูดิโอดังกล่าวในการฝึกไลฟ์สดได้
Go To Lead
|
'มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ' ต้อนรับตัวแทนด้านการศึกษา
มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ (SGU) คณะแพทยศาสตร์ ในประเทศเกรนาดา หมู่เกาะเวสต์อินดิส ได้จัดโปรแกรม Familiarization หรือโปรแกรมสร้างความคุ้นเคย ต้อนรับตัวแทนด้านการศึกษาและที่ปรึกษาโรงเรียนจากเอเชียและทั่วโลกมาสู่แคมปัส โดยโปรแกรมนี้นำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับหลักสูตรการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกในมหาวิทยาลัย SGU พร้อมทั้งมอบข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับสิ่งที่มหาวิทยาลัยมีให้ ระหว่างโปรแกรม Familiarization คณะผู้แทนได้รู้จักกับชีวิตของนักศึกษาแพทย์ที่ SGU และได้เรียนรู้ถึงโปรแกรมและแผนการศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติงานทางการแพทย์ในชีวิตจริง การจัดทัวร์ครั้งนี้รวมถึงการเข้าชมสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ที่ทันสมัยของ SGU เช่น ห้องปฏิบัติการจำลองและกายวิภาคศาสตร์เฉพาะทาง ห้องตรวจทางคลินิก ห้องตรวจอัลตราซาวด์ และศูนย์รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ คณะผู้แทนยังได้เยี่ยมชมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ภายในมหาวิทยาลัย เช่น ศูนย์ฟิตเนสและสุขภาพ คลินิกรักษาสุขภาพ และหอพักนักศึกษา ทำให้เข้าใจในภาพรวมถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนและดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของนักศึกษา
นลินี เจียมวิทยานุกูล ผู้จัดการฝ่ายสรรหานักศึกษาแพทย์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าวว่า โปรแกรม Familiarization ของ SGU เป็นโอกาสพิเศษที่เปิดให้ตัวแทนและที่ปรึกษาจากโรงเรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริงกับมหาวิทยาลัยของเรา ทั้งในและนอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมสิ่งอำนวยความสะดวกหรือการพูดคุยกับคณาจารย์โดยตรง ทัวร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า SGU ไม่ได้มอบเพียงแค่การเรียนการสอนที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาด้วยทักษะและความรู้ที่สำคัญในการประสบความสำเร็จในสายอาชีพแพทย์
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|